โซเชียลมีเดียก็เหมือนดินเนอร์กับเพื่อน ส่วนบล็อกก็คือเวลาที่เหลือทั้งวันของเรา

7:26am ความหมายคือ มันดีนะ ได้เจอเพื่อน มันก็ได้คุย ได้สนุก ได้โปรโมต ได้หายเหงา แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่เราไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ไม่สิ ได้ยินน้อยมากแล้วกัน เพราะเราต้องเอาใจไปคุยกับคนอื่น ฟังเรื่องคนอื่น ใช่ แต่ในฐานะศิลปิน มันไม่ได้ไง คือมันมีช่วงฟัง ใช่ แต่ในเวลาที่ศิลปินจะสร้างสรรค์ เค้าต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง มาฟังตัวเองไง นั่นคือที่มาว่า ล่าสุด ผมก็อยากจะต้องเว้นจากโซเชียลมีเดียมากๆ กลัวมากเลย คือใช่แหล่ะ ผมใช้ เพราะก็ต้องการโปรโมรพวกสินค้าอะไรของผมด้วย แต่ก็ต้องพยายามเข้าให้น้อยที่สุด ต้องระวังมากๆ เพราะเรายังอยากทำงานของเราต่อ ไหนจะเรื่องการจัดระเบียบชีวิต จัดระเบียบงานไม้หัว การสำรวจว่าปัจจุบันสินค้ามีเท่าไหร่ ขายที่ไหนบ้าง การทำโปรเจคพิเศษอย่างผ้าใบพี่ชาย หรือว่ากิ๊ฟเซ็ตให้แม่ การอยากจะได้อ่านหนังสือ หรือว่าทำงานโปรเจคที่เริ่มแล้วให้จบ อย่าง บล็อกงานแฟร์ปีที่ผ่านมา งานบล็อกบางใหญ่จากนิทรรศการที่อยากทำเป็นหนังสือซีน หรือว่าพิมพ์ Riso ก็ตาม หรือว่างานอนิเมชั่น ที่เป็น line sticker ก็ยังทำให้จบให้แล้วใจไป หรือว่า ซีนอนิเมชั่นตอนเรียนเช่นชายกลางฝนอีกน่ะ อยากทำให้จบไปเรื่อยๆจริงๆ หรือคือเข้าไปได้ แต่เพื่อโปรโมต แล้วก็เปิดคุยกับผู้คนนิดหน่อย แล้วก็ต้องรีบออกเลยประมาณนั้น ยากจัง แต่แค่การเปิดทีนึงเนี่ยแหล่ะ มันพร้อมจะทำให้สมาธิเราหายไปเลยทันที เมื่อไปเห็นงานของคนอื่น โอ๊ย ย้อนแย้งจริง มันคือการต้องบริหารเวลาล่ะมั้งครับ อย่างนึงที่ได้เรียนรู้คือ เราเหมาจะเปิดเข้าไป เมื่อเราทำงานเสร็จแล้ว อยากไปโปรโมต ประมาณนั้น แต่งานระหว่างทาง ยังไง ก็ควรจะมาเขียนไว้เองหลังบ้านที่นี่ครับ อืม ไหนจะงานคอมิคที่เริ่มไว้แล้วด้วย หรือว่า หนังสือภาพก็ตาม แล้วก็การกลับไปหางานเขียนอื่นๆที่เคยเขียนไว้ งานบล็อกช่วงแรกเพิ่มเติมอีก มันสามารถเอามาต่อยอดได้เยอะมากเลย คือไม่อยากเข้าโซเชียลบ่อยๆแหล่ะ เข้าทีแล้วแผนในตัวมันกระจายหายหมดเลยประมาณนั้น อธิบายไม่ถูกจริงๆครับ

เอาว่าไปต่อกับงานเขียน คอมิค อนิเมชั่นที่อยากทำ ลดการพบเจอผู้คนเพื่อดึงสมาธิกลับมาที่การทำงาน เน้นทำงานเก่าให้จบก่อน แล้วเอามาใช้ประโยชน์ เพิ่มเวลาในการจัดระเบียบสิ่งที่มี แล้วก็เสพ อ่านหนังสือ เที่ยว เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ส่วนสินค้า ใช้วิธีฝากขาย แล้วก็โปรโมตนานๆทีก็พอ แล้วก็ขายออนไลน์ไปก่อน เราต้องย้ำตัวเองว่า สื่อหลักของเราคือการเล่าเรื่องนะ นี่คืองานของเรา แปลว่า เราต้องอยู่กับตัวเองสัก 90% เลยเพื่อค่อยๆผลิตงานออกมาให้จบเป็นชิ้นๆออกมา การโปรโมตมันคือปลายทางแล้ว

คิดเสียว่าเราหายหน้าไป แต่กลับมาด้วยงานใหม่ที่มีคุณภาพ ดีกว่าเราพยายามตะโกนๆๆขายสินค้าที่ทำแล้ว หลายๆครั้ง (ทั้งๆที่ งานมันก็อาจจะขายตัวมันเองได้อยู่แล้วด้วยซ้ำ)

สรุป อย่างงานคอมิคที่ยังไม่จบ หรือว่างานบล็อกแฟร์ ผมจะไม่ไปเล่าให้ในโซเชียลฟังแล้ว ควรจะทำหลังบ้านตรงนี้เองคนเดียว จนจบ แล้วค่อยแชร์ออกไป ประมาณนั้นมั้งฮะ คือการไปป่าวประกาศ มันเป็นแรงกดดันที่ช่วยให้ผมทำงานตัดจบได้ก็จริง แต่มันก็ทำให้ผมเสียสมาธิได้มากๆเช่นกัน อืม มันประมาณเพราะอย่างงี้น่ะนะ

ดังนั้น ลองประณีประนอมด้วยการกดดันตัวเอง ผ่านการมาลงบล็อกประจำแทน แล้วลดการเสียสมาธิลง เพราะว่าเราสร้างระยะห่างกับผู้คนมากขึ้นน่ะ ใช่ ถึงตรงนี้จะมีใครๆมาอ่านได้ แต่ก็เป็นลักษณะไม่ได้ real-time ขนาด social media แล้วก็ไม่ต้องเห็นเรื่องราวของผู้คนอื่นๆ (ในเวลาที่เรายังไม่ได้ต้องการ) ด้วยครับ

เดี๋ยวโผล่ไปไอจีหน่อย เพื่อโปรโมตสินค้าที่เราซื้อมา งานของเพื่อนๆจากงาน BKKIF เป็นคลิปสุดท้าย เพราะก็อยากจะช่วยๆกันซัพพอร์ตกันครับ แต่เสร็จแล้วก็จะพอ กลับมาเข้าถ้ำของผมต่อนะ เข้าป่าของผมสิ ใช่ๆ ต้องเรียกว่าป่าไม้หัว ^^

วันนี้จะทำงานไม้หัวหลักๆประมาณนี้ (ส่วนเรื่องอื่นๆไว้ไปสรุปที่เอเวอโน้ตแล้วกัน)

  1. งานผ้าใบพี่ชาย แล้วก็บล็อกไว้ด้วยนะ

  2. งานจัดระเบียบ เพราะเป็นวันพฤหัส (ยังใช้ตารางแบ่งโปรเจคตามวันได้นะเราว่า ลองดู) จะเลือกจัดระเบียบร้านค้าที่ฝากสินค้า ทำเป็นแผนที่ออกมาก่อน ดีกว่า จะได้เอาไว้ช่วยเราให้ไม่ต้องเข้าโซเชียลมีเดียบ่อยๆ ลดภาระเราตรงนั้น ในการเจอผู้คน โอเคๆ (ไม่ได้รังเกียจผู้คนนะ แต่ผมต้องกันเวลาทำงานสร้างสรรค์ด้วยน่ะ ผมเจอคุณแล้ว ผมทำงานไม่ได้ ผมไม่มีสมาธิ ใจผมไปอยู่กับคุณหมดดดดน่ะ ต้องแบ่งเวลาแหล่ะ)

  3. สำรวจสต็อกหน่อยตอนนี้ จริงๆควรเป็นวันอังคารทำ แต่ว่า เอาน่ะ เราว่ามันเร่งด่วน กว่าการสำรวจเรื่องราว ตัวละครไม้หัวตอนนี้นะ เพราะห้องเละเทะไปหมดด้วยตอนนี้ เพื่อสมาธิ ต้องยืดหยุ่น!!!

โอเคครับ ไปก่อน หวังว่าพรุ่งนี้เราจะมาเจอกันอีกเพื่ออัพเดทงานไม้หัวหลังบ้านที่เรารัก 7:44am

ป.ล. ทำความเข้าใจตัวเองอีกที ผมว่าที่ผมอยากจะบอกคือว่า ช่วงเวลาที่โปรเจคยังไม่จบ ยังไม่อยากเปิดโซเชียล เพราะรู้สึกว่าผมจะเสียสมาธิมากๆๆๆๆ ประมาณนั้น นั่นน่าจะคือใจความจ้า โอเคบายครับ

ป.ล. 2 เมื่อต้องการสร้างสรรค์งาน ให้กลับมาอยู่กับตัวเองน่ะ แล้วสุดท้าย งานจะพูดแทนเราเอง โอเคๆ เหมือนที่ทำไม้หัวคันจิคอมิคส์สำเร็จ หรือว่าพวงกุญแจไม้หัว เพราะเราอยู่กับตัวเองเยอะๆๆๆเลยจริงไหม โอเคๆๆๆ บาย

9:41am หวัดดี มาใหม่ วะฮ่าๆ ตอนนี้กำลังอินกับการ storytelling อีกครั้ง ไม่ว่าจะงานเขียน งานคอมิค หรือว่าอนิเมชั่น ใจความคือการเล่าเรื่อง และการเล่าให้จบด้วยน่ะ เพราะว่า (โน้ตก่อน ต้องหา save the cat ให้เจอนะโว้ย แล้วก็ทำงานให้จบไปทีละโปรเจค เคลียร์ไปทีละงานๆๆๆๆโว้ย)

เพราะว่า ตะกี้ดู minions and more มากครับ กับเพื่อน ชอบความหนังสั้น ที่จบเป็นต่อนเล็กๆ เราว่าเราทำได้เหมือนกัน มันน่าสนใจที่ว่า เรื่องราวแบบไหนที่เราชอบไม่ชอบ เวิร์คไม่เวิร์ค อย่างที่เราสังเกตว่าเราชอบนะคือ

  • ความแปลกใหม่ (spoilier alert ต่อจากนี้ ถ้าไม่อยากโดนสปอยระวังที่ผมเขียนน้าา) ก็ อย่างเช่นตอนที่มิเนียนเอายูเอฟโอมาเป็นหมา เออ มันแปลกอ่ะ มันคือ what if ของการเขียนบทจริงๆด้วย หรือว่าตอนที่สี่ที่เป็น หนูแฮมเสตอร์ แม่ม มาดูดน้ำ กินป๊อปคอร์น ดู drama จากห้องของผู้คนในคอนโด ชอบมากๆ ฮ่าๆ คือเรื่องราวที่ดี ก็ทำให้เรารักตัวละครได้อีก ซึ่งไปต่อ

  • ข้อนี้คือเรื่องที่ไม่ชอบ แบบว่าบางที ตัวละครบางตัวเราก็ไม่ชอบ เช่น Grinch มันดูเจ้าเล่ห์อ่ะ ไม่น่ารัก เราก็จะไม่ชอบ (แต่เราก็ไม่ได้เห็นมุมอื่นๆของเค้าพอด้วยแหล่ะนะ เอาว่า มันคืออคติที่เราตั้งขึ้นก่อน ซึ่งแต่ละคนก็คงมีไม่เหมือนกัน) หรืออย่างคุณลูกเสือ หัวหน้า ทำไมต้องเป็นผู้ชายล่ำๆแบบนั้นตลอด แล้วก็ความลูกเสือของฝรั่งเราว่าเราจะไม่ค่อยอินน่ะ มันจะดูค่อนข้างชีวิตดีมากๆๆ ต่างจากที่เราประสบมาตอนเด็กมันจะเป็นฟีลที่เหนื่อยๆ ดิบๆ น่ากลัวๆกว่านั้น เราเลยจะไม่ค่อยรู้สึก relate อารมณ์เหมือนดูหนังเกี่ยวกับคาวบอย เราก็จะรู้สึกเข้าไม่ถึงน่ะ อาจจะต้องแสดงความเป็นมนุษย์ให้เห็น เราอาจจะทลายกรอบตรงนี้ไปได้น่ะ นั่งคิดภาพ ถ้าเกิดว่า หัวหน้าเป็นผู้ชายมีอายุตัวผอมๆ อาจจะดึงความสนใจเราได้เหมือนกัน ดังนั้น ความน่าสนใจในแว้บแรกก็สำคัญไม่แพ้กันน่ะ

  • ต่อมาที่เรียนรู้คือ ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทุกเรื่องจากเวิร์คและ เรื่องราว การเล่าเรื่อง ก็ถือว่าเป็น art and science of its own ซึ่งมันน่าตื่นแต้นมากนะ ที่เราจะได้เอามาวิเคราะห์ ทดลอง เล่า สื่อสาร เพื่อหาว่า รูปแบบไหนที่ใช่เรา เรื่องราวแบบไหน ตัวละครแบบไหน setting แบบไหน โทนแบบไหน ที่เราจะชอบ ไม่ชอบ คือมันทำให้เราเห็นว่า นายต้องทำให้เสร็จออกมาก่อน แล้วก็สั้นๆก่อนได้ ถ้ามันเวิร์ค เหมือนในเรื่องที่หนึ่งหรือสี่ มันจะดึงเราต่อไปเรื่อยๆจนจบ พอจบแล้ว เราอาจจะรู้สึกสั้น เราว่า เราก็สามารถค่อยๆขยายความแต่ละส่วนให้ยาวขึ้นได้ เช่น ตอนที่สี่ ก็อาจจะตัดไปเล่าให้เห็นว่า จริงๆแฮมเสตอร์มีการใช้เตาอบ หรือว่า ปลั๊กไฟ เพื่อไปใช้ในความบันเทิงก่อนช่วงแรก แต่ตอนหลัง ก็ค่อยเอามาใช้เป็นเหมือนเครื่องมือช่วยจัดการตัวร้าย เป็นต้น คือ เราทำของเล็กๆให้เวิร์กก่อน เหมือนหนังสั้นแบบนี้ แล้วค่อยขยายออกๆน่ะ เป็นการคิดจาก ใหญ่ไปเล็กนั่นเอง

  • จริงๆเราก็ทำอยู่แล้วแหล่ะ กับ คอมิคสิบตอนตอนนี้ เราแค่หาเรื่องไปทำตั้ง หก ซีรีส์ เลยทำให้ไม่จบเสียทีน่ะ ไม่เป็นไร ล่าสุดบอกตัวเองแล้ว ว่าจะทำซีรีส์หญิงใหญ่ให้จบก่อน ดีมากๆ คืออย่างน้อยเราขยายความขึ้นมาจากแค่สี่ช่อง เหมือนตอนทำ ไม้หัวคันจิคอมิคส์ ซึ่งถือเป็นการท้าทาย สู่ next step ที่ดีมากๆ ตอนนี้แค่ทำให้จบ หรือ กับ พวกงานอื่นๆเช่นกัน อย่าง animation scene หรือว่า บล็อกบางใหญ่ หรือว่า บล็อกแฟร์ 2024 เราแค่ ต้อง ทำให้จบ แล้วเราจะ judge ได้ตอนหลังว่า เราชอบไม่ชอบอะไรยังไง เวิร์คไม่เวิร์ค โอเค อย่างงานไลน์สติกเกอร์ชายเล็กที่ขึ้นไว้ ก็อยากทำให้จบเหมือนกัน จะได้แล้วใจไป เย้ๆ

3:19pm โอเค มาอีกแล้ว วะฮ่าๆ ตอนนี้ตามใจอิสระนิดนึงครับ ตะกี้นั่งอ่าน 100 years of solitude ไป แล้วมัน อินสไปร์ จากการอ่าน เลยทำให้อยากจะลอง จิ้น จินตนาการฉาก ที่อ่านได้ ก็นึกถึงตัวละคร ที่ชื่ออ่านว่ายังไงไม่แน่ใจ แต่ผมอ่านมาว่าเค้ากำลังแบบ อินกับการทดลอง กับนวัตกรรม ที่จะมาช่วยทำให้หมู่บ้านเค้าพัฒนา มีการอ้างอิงเรื่องนักเล่นแร่แปรธาตุบ้างล่ะ ไม่ก็ศิลาอาถรรพ์ แมะ อ่านแล้วก็เริ่มคิดถึงหนังสือเล่มอื่นๆเช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยเลยครับ อดไม่ได้ ขอวาดภาพประกอบเสียหน่อยครับ

Previous
Previous

最初の印象 ความประทับใจแรก

Next
Next

กลับมาโฟกัสที่ตัวเองอีกครั้ง และที่การบล็อกอีกครั้ง ที่เว็บตัวเองด้วย