โซเชี่ยวแค่ไหน
ทุกๆเช้า หลังจากตื่นนอน ตั้งแต่ตอนมากักตัว ผมเริ่มกิจวัตรประจำวันด้วยการลงไปเปิดบ้านให้อากาศถ่ายเท่ มันเป็นกิจกรรมที่ผมสนุกไปด้วยในทุกวัน คงเพราะมันเป็นอะไรที่ทำแล้วรู้สึกว่าแน่นอน บังคับได้ เห็นผลจริง ถึงแม้จะมีที่สะดุดกับความต้องการบ้าง เช่นรูดมู่ลี่แล้วติด หรือว่าเปิดหน้าต่างแล้วตะขอหลุดก็ตาม
หลังจากเปิดบ้าน รวมถึงปิดไฟหน้าบ้านแล้ว ผมก็จะขึ้นไปชั้นสองอีกครั้ง เพื่อนั่งสวดมนต์เช้าร่วมกับน้องหญิงเล็ก วันนี้เธอก็ให้กำลังใจผมสำเร็จในการเอาชนะความกลัว (เกินเหตุ) ของผมที่ผมคิดว่าตัวเองอาจจะยังไม่สะอาดหรือไม่ รวบรวมความตั้งใจดีแล้วจึงทำการเปลี่ยนน้ำถวายพระ รวมถึงถวายส้มท่าน แทนแอปเปิ้ลที่ตั้งอยู่หลายวันแล้ว พอทำเสร็จก็รู้สึกสาธุในความสำเร็จของตัวเอง
จากนั้นความแน่นอนของวันก็จะเริ่มโอนเอนตามเวลาที่เคลื่อนผ่านไป เนื่องด้วยวันนี้ผมโชคดี มีพี่แม่บ้านจากข้างนอกเข้ามาช่วยรดน้ำต้นไม้ที่สวนนอกบ้าน ทำให้ผมไม่ต้องรดน้ำประจำวัน แต่ว่า ผมว่าน่าจะเพราะจุดนั้น กิจวัตรผมเลยสะดุด แล้วผมก็เริ่มเป๋ ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะนั่งทานข้าวให้เสร็จเรียบร้อย หรือว่าจะเขียนเจอนัล หรือว่าจะเริ่มทำงานสติกเกอร์ที่กะไว้ว่าอยากจะทำให้เสร็จหนึ่งชิ้นทุกวัน สำหรับชุดใหม่ที่ขยับได้
แต่แล้วเรื่องรบกวนจิตใจก็ยังคงรังควาญผมอยู่เรื่อย เรื่องไม่ใกล้ไม่ไกลตัวอย่างเรื่องของ Social Media เนี่ยแหล่ะครับ ทุกวันนี้ ผมเจอความย้อนแยงที่ค่อนข้างทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆกับการใช้งาน Social Media ไม่ว่าจะเป็น facebook, instagram หรือแม้กระทั่ง Chat Massenger อย่าง Line ก็ตาม ที่ว่าย้อนแยงคือว่า ถ้าพูดในเรื่องของการที่ผมได้เชื่อมต่อตัวเองกลับไปสู่โลกภายนอก โดยการยื่นตัวเองเข้าไปหาผู้คน เพื่อที่จะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กลับคืนมา หรือว่าให้เวลาตัวเองเพื่อสนใจเรื่องราวของผู้อื่นบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน ทุกอย่างที่ผมแวะเข้าไปยังพื้นที่สาธารณะนั้น สิ่งที่ผมสูญเสียไปแน่ๆก็คือ สมาธิ
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคืนผมก็ลงคลิปร้องเพลงลงไปในไอจี ซึ่งแน่นอนว่าพอตื่นนอนขึ้นมา อย่างแรกที่ในหัวผมเริ่มคิดก็คือว่า มีคนมาไลค์แล้วไหม มีเยอะหรือเปล่า มีคอมเมนต์ด้วยไหม เค้าจะบอกว่าอไะร เป็นต้น ซึ่งมันรบกวนจิตใจผมมาก “แกทานพอแล้วเหรอวันนี้” จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงน้องชายเล็ก ผมผละตัวเองออกจากงานเขียน แล้วจึงมองไปรอบๆ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวที่ห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ติดกับชานระเบียงที่ทอดต่อไปยังสวนหลังบ้าน ไม่นานผมก็จับถึงเสียงของชายเล็กจากบริเวณสวนหลังบ้านนี่เอง ผมเดินออกไปพร้อมกับเจอนัล กะจะชวนน้องชายคุยเล่นกันที่หลังบ้าน
“แล้วแกเป็นยังไงบ้าง สรุปรอยจุดคือลวดลายหรือว่าแกกำลังไม่สบาย” ผมลงน้ำหนักตัวเองให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากจะไปขัดจังหวะช่วงเวลาส่วนตัวของชายเล็กนัก “โอเค โอเคๆ ได้เลย” ชายเล็กส่งเสียงออกมาเบาๆ ผมเดินต่อไปนั่งลงตรงที่บันได แล้วจึงหันไปสังเกตดูกิจกรรมที่มีแต่ชายเล็กเท่านั้นที่จะทำได้ ก็คือการคุยกับต้นไม้ ผมพยายามหยีตาอย่างเต็มความสามารถในทุกๆจังหวะที่ชายเล็กพูดเสร็จ เพื่อจ้องดูเหล่าต้นไม้ใบไม้ ที่ดูเหมือนจะขยับตอบรับกับชายเล็ก ว่ามันเป็นเพราะแรงลม หรือว่าเพราะมนต์วิเศษของชายเล็ก
“มอนิ่งครับพี่ทอง” ชายเล็กทักผม เมื่อเขาเห็นผมในที่สุด หลังจากขมักเขม้นทำงานกับเหล่าพรรณไม้ “เช้านี้พี่ทองจิดใจว้าวุ่นใช่ไหมครับ” ผมตกใจที่น้องชายล่วงรู้ความลับ “ใช่แล้วชายเล็ก นี่ถ้าทายถูกอีกทีพี่จะคิดว่าเราเป็นหญิงเล็กในร่างชายเล็กนะเนี่ย อ่านใจพี่ได้ขนาดนี้" เราสองคนต่างขำ “ผมรู้เลยว่าพี่ทองอาจจะต้องติดกับดักความคิดอีกแล้ว เพราะวันนี้ไม่มีต้นไม้ให้รดน้ำ ดังนั้น สติจึงยังล่องลอยไปมาอยู่ไม่มีอะไรให้ยึดติดเท่าไหร่ จริงไหมครับ” “จริงด้วย ก็ใช่นะ พี่ยังคงคิดไม่ตกเลยว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องอะไรหรือกำลังต้องการอะไร” ผมตอบ
“ผมว่าในมือพี่ทองก็คือคำตอบแล้วนะครับ ผมเห็นช่วงนี้ทุกเช้า กิจวัตรเช้าอีกอย่างก็คือการเขียนเจอนัลเพื่อไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นของวันเก่า รวมไปถึงสะท้อนความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบัน แล้วก็วางแผนการกระทำสำหรับอนาคต นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากนะครับ พี่ทองได้เริ่มเขียนอะไรไปบ้างแล้วมั้ยครับ”
ผมได้เล่าให้ชายเล็กฟังถึงสิ่งที่ผมเขียนลงในเจอนัลล่าสุด ซึ่งมีใจความโดยหลักพูดถึงความสับสนของผมเนื่องมาจากการใช้งาน Social Media ที่ว่าผมจะไม่วายคาดหวังอะไรต่างๆนาๆ เช่นยอดไลค์ หรือว่าคอมเมนต์จากผู้คน ผมบอกชายเล็กว่า มันอาจจะเพราะผมลืมตัวในหลายๆครั้ง แทนที่จะลงงาน หรือรูปภาพ เพื่อเป็นประโยชน์หรือสร้างความสุขให้คนอื่น ผมก็จะมีหลงทางอยู่บ้างโดยการเปลี่ยนโฟกัสไปที่เรื่องความต้องการของตัวเองแทน
“หรือว่านั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่เล็กชอบคุยกับสัตว์หรือว่าต้นไม้นะครับ เพราะเล็กไม่ต้องตั้งความหวังหรือเรียกร้องสิ่งใดตอบแทนจากพวกเค้า เพราะพวกเค้าก็อยู่กันได้เองตามธรรมชาติ เล็กมองว่ามันเป็นการให้ไปโดยไม่ต้องไปหวังเอาสิ่งใดคืน มันรู้สึกโล่งดีนะครับ พี่ทองน่าจะลองเอาความคิดแบบนี้ไปลองใช้ดู เวลาที่พี่ทองจะโพสต์ สื่อสาร หรือเชื่อมต่อผ่านโลกออนไลน์ เพราะเล็กเชื่อว่าพี่ทองจะต้องมีภูมิคุ้มกันแล้วทีนี้ครับ
พูดไม่ทันขาดคำ ชายเล็กก็คว้าเอาใบไม้ที่ตกอยู่ข้างๆขึ้นมาใช้แนบหูเหมือนเค้าพยายามจะฟังอะไรบางอย่างอยู่ “หรือว่าความสนใจเป็นสิ่งที่เราควรจะทำให้กับผู้อื่นมากกว่ารอคอยให้ใครมาทำให้เรากันนะ” ผมคิดต่อพลางจดความคิดตัวเองลงในเจอนัลต่อไป