มนต์การเขียน
“การเขียนนี่สำหรับพี่นี่ ไม่แน่ใจว่ามันง่ายขึ้นบ้างหรือเปล่าเมื่อเวลาผ่านไปนะ” ผมบอกชายใหญ่ขณะที่กำลังชงชา Twining รส Wild Berry จากบริเวณครัว ผมชอบชงชา แม้จะเป็นเพียงแค่ชาถุงชงง่ายๆแค่เติมน้ำร้อน สิ่งนี้ช่วยเยียวยาความคิดฟุ้งซ่าน เพราะมันทำให้ชีวิตผมได้ช้าลง ขืนทานชาแล้วยังทำอะไรหรือคิดอะไรรวดเร็วเหมือนเดิม ก็คงได้ลิ้นลวกจริงไหมครับ ครัวที่บ้านบางใหญ่นี้มีลักษณะเปิดโล่งต่อกับส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งตอนนี้ชายใหญ่กำลังคุ้ยหาอะไรบางอย่างอยู่
“ผมว่าตอนนี้พี่ทองก็กำลังไปได้ดีนะครับ เพียงแต่ว่า เพราะพี่ทองค่อนข้างปล่อยตัวเองอิสระไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือว่าอาจจะมีอยู่คร่าวๆ แต่ว่าก็ไม่ได้มีการย้ำเตือนถึงมันบ่อยๆ แต่เลือกที่จะสนุกไปกับกระบวนการตรงหน้ามากกว่า ผมว่านั่นเลยทำให้บางครั้งพี่ทองรู้สึกว่าตัวเองหลงทาง หรือเกิดความสับสน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ผมใจลอยไปพลางแล้วก็ฟังชายใหญ่แนะนำไปพลาง สายตาก็มองเห็นน้องต้นไม้คนโตหยิบเอาสมุดออแกไนเซอร์ของมูจิออกมาจากกลุ่มหนังสือที่วางตั้งอยู่ที่มุมโต๊ะ แต่สมองผมในขณะนั้นยังไม่ได้เชื่อมต่อให้สิ่งที่มองเห็นสัมพันธ์กับความคิดหรือคำพูดที่จะใช้เพื่อตอบโต้กับน้องต้นไม้ซักเท่าไหร่
“ชายใหญ่สังเกตเห็นว่าพี่ทองจะมีช่วงเวลา หลง อยู่มาก หลังตื่นนอนใหม่ๆ เลยไปจนถึงเกือบเที่ยง” ผมตั้งใจฟังน้องต้นไม้ต่อไปเรื่อยพร้อมกลับที่กลิ่นชาผลไม้เริ่มส่งขึ้นมาแตะที่จมูกผมหลังจากที่ผมรินน้ำร้อนลงถ้วย “ผมว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่พี่ทองยังไม่ได้วางแผน ล่วงหน้า ครับ” ชายใหญ่หันหน้ามาประจันกับผมจากโต๊ะทานข้าว พร้อมใช้มือทั้งสองวางสมุดโน้ตมูจิตั้งลงตรงหน้าของตัวเพื่อให้ผมได้เห็น ราวกับเป็นอัศวินที่กำลังปักดาบลงพื้นก่อนที่จะกล่าววาทะอะไรสักอย่าง
“แต่…” ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่จะเอ่ยคำแก้ตัวต่างๆ ยิ่งกับน้องชายคนโตซึ่งผมนับถือมากกับความเป็นนักวางแผนของเค้า แต่ผมก็ขอนิดหนึ่งละกัน เพราะยังเช้าอยู่ “แต่พี่ก็จะคอยเขียนโน้ตลงใน Evernote อยู่ประจำนะ” ผมเดินมานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ติดกับชายใหญ่ พร้อมที่จะฟังคำแนะนำต่อ “นั่นก็จริงอยู่ครับ แต่ใหญ่ชายเข้าใจว่าพี่ทองใช้ Evernote ส่วนมาก็เพื่อเป็นการระบายความคิดที่ติดค้างอยู่ในขณะนั้นๆของพี่ทอง หรือถ้าเกิดเป็นการเขียนเพื่อการวางแผนแล้ว ใหญ่ชายว่าพี่ทองน่าจะใช้มันสำหรับวางแผนสำหรับภารกิจใน 1 วันเท่านั้น อย่างมากก็อาจจะมีหลุดมาบ้างก็ไม่เกิน 2-3 วันถัดไป แต่มันจะเป็นอะไรที่ฉับพลับมาก” ผมนั่งคิดทบทวนสักครู่แล้วก็ต้องกำราบให้น้องชายโดยการพนักหน้างึกๆ “นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า พี่ทองน่าจะต้องเริ่มกลับมาใช้สมุดโน้ตของมูจิ คล้ายๆกับที่พี่ทองใช้มันเพื่อจัดการชีวิตตัวเอง ช่วงที่อยู่อังกฤษกับโปรเจค 5 พอจะจำได้ไหมครับ” ทันใดนั้นความคิดก็พาผมนั่งไทม์แมชชีนกลับไปที่ภาพของห้องนอนสตูดิโอที่ควีนส์เวย์ ก่อนที่ผมจะลี้ภัยกลับมาบ้านด้วยความกลัวโรคระบาด แล้วก็ย้อนหลังขึ้นไปอีกประมาณอีกสองเดือน ในเดือนมกราคม ซึ่งผมจำได้ถึงช่วงเวลาประมาณสองอาทิตย์ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไหลลื่นต่อเนื่องดีมาก ซึ่งนั่นก็เพราะผมวางแผนล่วงหน้าก่อน เป็นรายอาทิตย์ “อ้า พี่เข้าใจละ พี่ลืมการวางแผนในลักษณะนี้ไปอีกแล้วจนได้”
“แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะชายใหญ่อยู่ด้วยทั้งคน” ชายใหญ่ฉีกยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจไปด้วย เค้ากระโดดลงจากโต๊ะแล้วจึงเดินไปยังบริเวณพื้นห้องโล่งบริเวณที่ผมเพิ่งจะกวาดถูกทำความสะอาดจนสะอาด “ไหนๆพี่ทองก็ออกแรงเช็ดถูบ้านอย่างตั้งใจขนาดนี้ ชายใหญ่ยิ่งอยากจะช่วยครับ มาครับ ผมว่าเรามาลองออกแบบกันดีกว่าว่าภายในสองอาทิตย์ พี่ทองกะจะทำอะไรบ้าง เพื่อที่ว่าตื่นมาพี่ทองจะได้ไม่งง ดีมั้ยครับ” ผมค่อยๆยกแก้วชาขึ้น สายตาก็มองเพลินดูการเปลี่ยนสีจากอ่อนเป็นเข้มของชา อีกสิ่งที่ทำให้ผมชอบในการดื่มชา “ทำไมจะไม่ดีล่ะครับ ชายใหญ่แนะนำอะไรมานี่พี่เชื่อว่ามันต้องดีแน่ๆ ได้เลย ไหนๆ เราเริ่มจากตรงไหนกันดี”
เราสองคนจึงเริ่มคุยกันถึงสิ่งต่างๆที่ผมอยากจะทำ โดยผมก็ได้แบ่งประเภทของงานต่างๆออกเป็นสามจำพวกใหญ่ๆ ก็คืองานภารกิจที่ต้องทำทุกวันให้เป็นเสมือนกิจวัตร งานส่วนตัว แล้วก็งานค้าง งานสัพเพเหระอื่นๆ “ดีครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่พี่ทองมีการแยกแยะจำแนกงานประเภทต่างๆ แล้วพี่ทองกะไว้ว่าจะจัดการยังไงดีครับ ถ้าวันนึงมีหลายอย่างต้องทำแบบนี้” ชายใหญ่ยังคงความเป็นผู้นำที่น่ารัก ก็คือการที่เค้าก็ยังคงรับฟังสิ่งที่ผมอยากจะพูดด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบในตัวน้องชายคนนี้มาก
“ก่อนอื่นพี่ก็อยากจะบอกก่อนว่าการสร้างแผนการนี่ มันเป็นไปเพื่อกำจัดความรู้สึกว่าไร้หลัก ที่รบกวนจิตใจ คือพี่อาจจะทำมันไม่สำเร็จตามที่เขียนไว้ แต่อย่างน้อย ก็มีไว้ให้ได้อุ่นใจว่ามี” "ผมเข้าใจพี่ทองเลยครับ มันก็คงคล้ายๆกับว่าพี่ทองกำลังสร้างกรอบอะไรบางอย่างขึ้นมา เพื่อฉีกมันทิ้งเสีย แต่อย่างน้อยมันก็มีอะไรให้ได้ฉีก ไม่งั้นพี่ทองก็จะรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหลุมดำ” “ฮ่าๆ ประมาณนั้น คล้ายๆเสมือนการที่พี่สามารถจะปล่อยตัวเองดื่มดำไปกับธรรมชาติ อยากจะหลงไปไหนก็ไป แต่ก็รู้ว่าในกระเป๋ากางเกงยังมีไอโฟนไว้ดู google map ได้ตั้งจะกลับ ว่าต้องกลับทางไหน ประมาณนั้นมั้ง โอเค ทีนี้ พี่ว่าพี่ก็คงจะต้องทำอะไรที่เป็นกิจวัตรก่อน กิจกรรมประเภทที่ว่ายังไงก็ต้องทำ ไม่ต่างกับการกินข้าว หรือนอนพักผ่อน เช่นการสวดมนต์นั่งสมาธิตอนเช้า ซักผ้า รดน้ำต้นไม้ หรือว่าทำอาหาร… ซึ่งหลังจากนั้น พี่จึงจะเริ่มทำ…ถ้าให้เลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน พี่ก็คงอยากจะอ่านหนังสือก่อนเป็นอย่างแรก ในช่วงที่พี่ยังมีแรง แล้วจากนั้นก็อาจจะแทรกด้วยภารกิจ เช่นการวาดรูปให้พี่สาว ที่ก็ควรจะทำตอนฟ้ายังไม่มืด ส่วนการวาดแล้วก็เขียนงานนั้น พี่สามารถไปทำตอนเย็นได้ สักเวลาประมาณ 8 ทุ่มน่าจะสายสุดที่รับได้ เพราะไม่อย่างนั้นพลังพี่ก็จะหมด”
"ไม่อยากวาดเขียนงานให้เร็วกว่านั้นเหรอครับ” ชายใหญ่ถามให้ผมคิดเพื่อความแน่ใจ “ไม่นะครับ พี่ว่า พี่ก็ชอบที่ตัวเองจะได้ใช้ชีวิตทำโน่นทำนี่ไป เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นกลับกลายมาเป็นทรัพยากรในงานเขียนของพี่ก่อนปิดวัน” “ฟังดูเข้าท่าเชียวครับ” ชายใหญ่ตอบ ขณะที่เค้าร่างกรอบ เขียนโน้ต โน่นนี่ให้ผมเกือบเสร็จจนครบหน้าสมุด “พี่ทองสู้ๆนะครับ ชายใหญ่รู้ว่าความคิดพี่ทองแล่นเร็ว แล้วก็แล่นทั้งวัน จนหลายๆครั้งมันชนกันบ้าง ตบตีกันบ้าง แต่ชายใหญ่เชื่อว่าถ้าพี่ทองใจเย็นๆ ค่อยๆเอาการเขียนของพี่ทองมาใช้กับการวางแผน ไม่ว่าจะ Evernote รายวัน โน้ตมูจิรายอาทิตย์ เดือน ปี รวมไปถึงการที่พี่ทองเขียนเจอนัลทุกเช้าเพื่อระบายความคิดเก่าที่หมักหมม หรือเพื่อทบทวนสิ่งที่พี่ทองได้ทำไปหรือคิดว่าจะทำในอนาคต มันน่าจะต้องช่วยให้พี่ทองได้จัดระเบียบความคิด ทำความสะอาดหัวสมอง ขจัดสิ่งที่ทำให้กังวลหรือคอยรบกวนจิตใจให้ไขว้เขว เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับกระดาษหน้าว่างๆรอรับตัวอักษร ให้ได้ถูกร้องเรียงกลายเป็น ใครจะรู้ครับ อาจจะเรื่องสั้นหรือนวนิยายบอกเล่าเรื่องราวของพวกเราห้าพี่น้องไม้หัวก็ได้” ชายใหญ่ไม่วายให้กำลังใจผมอีกครั้ง ในจังหวะที่ผมเพียงแต่นั่งจิบชาละเมอเพ้อพบไปเรื่อย “ขอบคุณมากนะครับชายใหญ่ การเขียนนี่มันมีมนต์วิเศษจริงๆ” ผมกล่าวขอบคุณการเขียนอีกครั้ง