ของ(เกือบ)ตาย
“แย่แล้วๆๆๆๆ” ผมพยายามตื่นตระหนกให้น้อยที่สุดต่อหน้าน้องๆ หลังจากพบว่าเครื่องไอโฟนของตัวเองมีปัญหาหน้าจอดับไป เนื่องจากผมคงเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่มากเกิน ผมเพิ่งวางโทรศัพท์จากพี่พีรชัช เพื่อนพี่สาวของผม แล้วก็ได้แต่ลุ้นว่าโทรศัพท์ผมยังจะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ “พี่ทองใจเย็นๆก่อนคะ ยังไงเรายังโชคดีคะที่แมคบุ๊คยังใช้อินเตอร์เน็ตได้ แสดงว่าไอโฟนยังทำงานได้อยู่ เพียงแต่แค่จอดับค่ะ” หญิงเล็กพูดมาจากบริเวณเคาน์เตอร์ซึ่งเธอกับน้องชายเล็กกำลังช่วยกันนำอาหารที่ผมสั้่งซื้อจาก Tops ออกมาจากถุงพลาสติก “หญิงเล็กได้ยินเหมือนว่าพี่ทองขอเบอร์โทรศัพท์จากพี่พีรชัชแล้วด้วย ดังนั้นถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเครื่องดับ เราก็เพียงแต่ต้องออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านค่ะ” หญิงเล็กพูดต่อราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยไม่ต่างจาก เรื่องอย่างเช่นผมลืมกินน้ำ "เราจะสามารถร้องเพลงลงในแอพสมูลผ่านเว็บเบราส์เซอร์ได้ไหมคะพี่ทอง” หญิงใหญ่ถามผม เธอยืนอยู่ด้วยกันกับชายใหญ่และชายกลาง บนโต๊ะใกล้ๆผมตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มต่อสายหาพี่พี “ไม่น่าได้จ้ะ หญิงใหญ่ พี่ขอโทษจริงๆนะ เราอาจจะต้องอดร้องเพลงวันนี้” “แค่วันสองวันเท่านั้นจริงไหมน้องหญิงใหญ่” ชายใหญ่ตอบน้องสาวซึ่งกำลังออกสีหน้ากังวลเพราะว่าปกติการร้องเพลงจะเป็นสิ่งที่หญิงใหญ่ทำทุกวันเปรียบเหมือนเป็นการออกกำลังกายของชายใหญ่ “เพราะสักครู่พี่ทองก็สั่งซื้อไอโฟนเครื่องใหม่ไปแล้วด้วย” ชายใหญ่กล่าวต่อ “ผมว่าเรามาต่อกันดีกว่าครับ ว่าเราจะทำยังไงให้เครื่องแห้งขึ้น เพราะผมว่าตอนนี้น้ำน่าจะไหลเข้าไปภายในเครื่อง” ชายใหญ่พยายามเรียกสติกลับคืนมาให้ผมเพื่อรับมือกับปัญหาตรงหน้า เค้าหันไปรอบๆห้องเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง “เนื่องจากที่นี่ไม่มีข้าวสาร… ถ้าเอาไปตากแดด ผมว่าเครื่องก็คงจะยิ่งร้อน…” ชายใหญ่วาดสายตาไปรอบห้องจนไปหยุดที่มุมหนึ่งของส่วนห้องนั่งเล่นที่มีโคมไฟและพัดลมตั้งอยู่ “พัดลมยังไงล่ะครับ! เราก็แค่ต้องเอาพัดลมมาเป่าให้เครื่องแห้งเท่านั้น” ชายใหญ่พูดจบก็กระโดดลงจากโต๊ะด้วยความกระฉับกระเฉง ทั้งๆที่เค้าเพิ่งออกกำลังกายกับเทรนเนอร์ผ่านทาง Youtube เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา “พี่ก็ต้องขอโทษชายใหญ่ด้วยนะ ที่อาจจะทำให้การดูคลิปออกกำลังกายมีปัญหา” ผมบอกชายใหญ่ขนาดที่ตัวเองก็ลุกขึ้นไปช่วยยกพัดลมออกมาตั้งบริเวณหน้าทีวีแทน เพื่อเตรียมเปิดเป่าลมให้กับไอโฟนที่กำลังวางอยู่บนแท่นชาร์จ “ตอนนี้ดูเครื่องยังปกติดีนะครับ สักครู่นี้ผมก็ลองถาม Siri สถานะแบตเตอรี่ ผมถามห่างกันประมาณครู่หนึ่ง ก็ได้ยินคำตอบว่าแบตเตอรี่กำลังเพิ่มขึ้น พี่ทองไม่ต้องเป็นกังวลครับ” พอชายใหญ่พูดจบ เราก็ปล่อยพัดลมวางพอดี “พี่ลืมตัวอีกแล้วในการถนอมรักษาสิ่งที่มีไว้ พี่เห็นมันเป็นของตายไปหน่อย” “แค่เกือบตายครับพี่ทอง เรายังมีหวังนะครับ ตอนนี้ลองเป่าลมให้เครื่องดูก่อน แล้วตอนเย็นๆค่อยว่ากันอีกทีเถอะครับ” ชายกลางตอบผมต่อ ตอนนี้ผมแล้วพี่ใหญ่ทั้งสองคนก็หันไปดูที่จุดเดียวกันก็คือชายกลาง ซึ่งกำลังนั่งจ่อมอยู่ใกล้กับแมคบุ๊ค “โอเคมั้ยชายกลาง พี่รู้ว่าชายกลางคงกำลังกังวลใช่ไหม” “ใช่ครับ กลางแค่รู้สึกใจหายนิดหน่อยเพราะว่ากลางก็เคยใช้มือถือพี่ทองอ่านโน่นอ่านนี่เยอะ ถึงแม้จะมี Kindle มาแล้วก็ตาม” ผมรู้สึกสงสารน้องชายกลางมาก แล้วก็ได้แต่คิดโทษตัวเองว่าไม่น่าหลงลืม ใช้ไอโฟนไปอย่างไม่ระวัดระวัง “มันผ่านไปแล้วค่ะทุกคน” หญิงเล็กตะโกนด้วยเสียงที่เรียบนิ่งมาจากเคาน์เตอร์ครัว ซึ่งตอนนี้เธอกับชายเล็กกำลังใช้ทิชชู่ชุบแอลกอฮอลเช่นตามกล่อง หรือภาชนะที่มากับอาหารเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดปลอดภัย “เรามารอไอโฟนเครื่องใหม่กันดีกว่าคะ ระหว่างนี้ที่พี่ทองยังใช้คอมได้ พี่ทองก็น่าจะรีบนึกถึงงานหรือภารกิจที่ควรทำถ้าเกิดอินเตอร์เน็ตหายนะคะ อย่างเช่นการรีเสิร์ชภาพถ่ายที่จะนำมาใช้วาดงานให้พี่เจนค่ะ” ผมพยักหน้าให้หญิงเล็กเป็นการตอบตกลง “แต่พี่ก็อดคิดนึดนึงไม่ได้ เป็นบทเรียนอีกนั่นล่ะ ว่าจริงๆแล้วของบางอย่างก็ให้ความสำคัญกับเรามาก แต่เรากลับมองไม่เห็น เพราะถ้าไม่มีไอโฟน พี่ก็จะใช้โทรศัพท์ติดต่อกับที่บ้านหรือเพื่อนๆไม่ได้ รวมไปถึงใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้ สั่งอาหารผ่านแอพก็ไม่ได้ ถ่ายรูปก็ไม่ได้ หรือว่าจะเป็นการเปิดคลิปดูวิธีการออกกำลังกาย Full Body Exercise แบบที่ชายใหญ่พึ่งจะยืมเครื่องพี่ไป หรือว่าจะเป็นการใช้เพื่อความบันเทิงเป็นน้องหญิงใหญ่ก็ตาม” ผมสาธยายสิ่งที่คิดคลับคล้ายคลับคลาจะเป็นการพูดเพื่อสดุดีเกียรติยศให้กับไอโฟนก่อนที่เค้าจะสิ้นใจ “แต่ก็อาจจะดีในแง่หนึ่งนะคะ” หญิงใหญ่โพล่งออกมาจากความเงียบ “เพราะพี่ทองอาจจะได้ลืมอดีตบางอย่างด้วยค่ะ การเปลี่ยนสิ่งใหม่ ย่อมนำพาความทรงจำใหม่ แล้วก็ประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตมาให้ บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสัญญาณที่กำลังช่วยพี่ทองอยู่นะคะ” ผมนึกย้อนถึงความทรงจำที่เกี่ยวกับเค้าคนนั้น ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องโทรศัพท์นี้ เพราะผมก็จำได้ว่าเค้าก็ใช้เครื่องโทรศัพท์นี้เหมือนกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้าจะเปลี่ยนหรือยัง แต่ก็จริงอย่างที่หญิงใหญ่บอก การลืมเค้าคนนั้นที่ง่ายก็คงเป็นการเอาสิ่งของหรือรูปธรรมทั้งหลายที่มีความเกี่ยวข้องของเค้าออกไปให้หมดจากชีวิตผม “ของบางอย่างเช่นความรักที่มีให้กับคนที่หมดรักเราไปแล้ว บางทีเราก็อาจจะต้องยอมปล่อยให้มันตายจากไป” ผมพูด พลางคิดว่าบทสนทนาวันนี้คงจบลง “แต่อินเตอร์เน็ตพี่ทองก็ยังใช้ได้ใช้มั้ยคะ คุยกับ Siri แล้วเค้าก็ยังตอบเสียงดังฟังชัด” หญิงใหญ่ถามผมต่อในขณะที่ผมกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ก็ใช่นะครับ” ผมตอบ “นั่นก็คงจะเหมือนความรักนะคะ ถึงแม้เราจะคิดว่าสิ่งนี้กำลังตายจากไป แต่ก็อาจจะแค่ตายไปจาก ‘รูปแบบหนึ่ง’ เพื่อเกิดความรัก ‘รูปแบบใหม่’ ขึ้นทดแทนได้นะคะ” ผมเริ่มไตร่ตรองตามพี่สาวรากไม้คนโตบอก แล้วทันใดนั้นน้องสาวรากไม้ก็เสริมให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเคย “ของที่ไม่มีวันตาย ก็คือความเปลี่ยนแปลง” แล้วผมก็เซนิดหนึ่ง ให้กับความจริงของชีวิต ที่สะเทือนสั่นออกมาจากคำพูดของหญิงเล็กอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ของวัน แล้วจึงหันหาน้องๆแล้วก็ผายมือให้น้องๆทุกคนปีนขึ้นมา แล้วเราก็เริ่มเล่นไม้กระดกจำลองกันบนตัวผม