จากความกลัว สู่สติ

“The only thing we have to fear is fear itself.” สิ่งเดียวที่เราควรจะต้องกลัวก็คือความกลัวนั้นเอง เป็นคำพูดจากประธานาธิบดี Franken D Roosevelt พูดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1932

เวิร์คช็อปงานเขียน สวนสาธารณะ งานวาด ดอกไม้ที่สดสวย บทสนทนาที่สนุกสนานกับเพื่อน บะหมี่เป็ด เหล่านี้ ในเวลาของความหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นความกลัวที่เกี่ยวกับความเป็นความตายด้วยแล้ว ได้มลายหายไปหมด สิ่งหนึ่งที่ได้สูญสิ้นไปด้วยก็คือพลังแห่งการสร้างสรรค์

วันนี้ฉันตื่นมา ในวันที่เป็นหนึ่งในหลายๆวันของวันจำพวกที่ฉันรู้สึกนอนไม่พอเนื่องจากความฝัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้มีโอกาสเจอเพื่อนๆและอาจารย์ที่ Royal College of Art ในลักษณะพร้อมหน้าพร้อมตากัน ซึ่งเป็นการนัดรวมกลุ่มกันแบบไม่เป็นทางการ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของการทำโปรเจคล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งพิมพ์ ทั้งๆที่เมื่อวานตอนเย็นฉันก็ยังไปร่วมเวิร์คช็อปงานเขียนมาพร้อมกับคุณป้าท่านหนึ่ง แต่ด้วยโลกนี้มีแต่ความไม่แน่นอน หลังจากได้อ่านอีเมลจากเพื่อนคนหนึ่งในคลาส ซึ่งแสดงความเป็นห่วงต่อเหตุการณ์ไวรัสโควิด 19 ความวิตกกังวลในใจก็ค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้น

จนกระทั่งฉันขึ้นรถไฟไปที่มหาลัย (ฟังแล้วเหมือนจะเป็นแคมปัส จริงๆก็คือตึกๆหนึ่งที่ White city) แล้วก็ค้นพบความไร้สติของตัวเองอีกครั้ง เพราะไปผิดสถานที่และผิดเวลา แล้วก็ไปลงเอย ตอนแรกคิดว่าจะนั่งรอนัดตอนบ่ายสามโมง ซึ่งมีเวลาอีกประมาณสี่ชั่วโมง ไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ ทั้งๆที่ใจคิดอยากจะเขียนบล๊อกบันทึกเรื่องราวของกิจกรรมงานวาดที่ผ่านมา แต่ความกังวลก็ค่อยๆฟูขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเมื่อได้ยินเสียงคนไอ ก็จะเริ่มตื่นตระหนก เกิดความหวาดระแวง หรือนั่งๆไปสักพัก ก็เริ่มคิดว่า เราปวดๆหัวอยู่เหมือนกัน หรือเปล่า ใจเลยยอมแพ้ต่อความคิดตัวเอง ก็เลยนั่งรถไฟกลับมาที่บ้าน มาตั้งหลักก่อน

เรื่องนี้น่าคิด น่าคิดตรงที่ว่า ทั้งๆที่ก็รู้ว่าชีวิตไม่แน่นอน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะมีพรุ่งนี้หรือไม่ หรือแค่ชั่วโมงถัดไปก็ตาม (หรือนาที)​ แต่ฉันก็ยังไม่วายหวงแหนชีวิตนี้ไว้ แน่นอน เพราะชีวิตมีค่า ฉันจึงอยากจะหวงแหนเอาไว้ แต่คำถามถัดไปก็คือ แล้วฉันจะใช้ชีวิตที่ฉันหวงแหนไว้อย่างไรให้คุ้มค่าล่ะ? ฉันจะคอยหนีสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ปล่อยให้อารมณ์และความคิดชักนำไปเรื่อยๆ หรือฉันจะเบาเสียงเหล่านั้นลง แล้วอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉันแทน เพราะว่าสิ่งนั้นอาจจะไม่มีโอกาสโผล่มาให้ฉันได้สัมผัสอีกแล้วก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นการอยู่กับสิ่งตรงหน้าด้วยใจที่ไม่หวั่นไหวมากกว่าหรือเปล่า ถ้าฉันจะต้องตายวันนี้ ก็หวังว่าฉันจะตายด้วยใจที่สงบ

ภาพตอนที่ยังพอมีสติอยู่บ้าง ก่อนจะตื่นตระหนกกลับบ้านมา ยังไงชีวิตก็มีความเสี่ยงน่ะนะ พูดถึง ฉันแค่ต้องถามตัวเองว่าทำไมฉันจึงเลือกที่จะอยู่ที่ลอนดอนต่อตอนนี้ ก็เพราะอยากจะให้เวลาตัวเองค้นหาสิ่งที่สนใจจริงไหม

ภาพตอนที่ยังพอมีสติอยู่บ้าง ก่อนจะตื่นตระหนกกลับบ้านมา ยังไงชีวิตก็มีความเสี่ยงน่ะนะ พูดถึง ฉันแค่ต้องถามตัวเองว่าทำไมฉันจึงเลือกที่จะอยู่ที่ลอนดอนต่อตอนนี้ ก็เพราะอยากจะให้เวลาตัวเองค้นหาสิ่งที่สนใจจริงไหม

ก็น่าสนใจอยู่ ในช่วงเวลาที่รู้สึก (อีกครั้ง) ว่าชีวิตจริงๆแล้วก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้ เราให้ความสำคัญกับอะไรอยู่ในปัจจุบัน เรากำลังทำสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ เราให้คุณค่าของชีวิตไว้ที่ตรงไหน ความกลัวกลับมาช่วยเตือนสติเราอีกครั้ง

Previous
Previous

เรื่องของชายเล็ก ฉบับเล็กน้อย

Next
Next

รวดเร็ว! ว่องไว!! ปุบปับ!!!