คลื่นความคิด

008BE42D-6837-44B3-96FD-9C985D339646.JPG

“เอาล่ะ เราจะวาดงานผนังผ้าใบให้พี่สาวผมก่อน” เสียงความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาไม่นานหลังผมเริ่มนั่งสมาธิเช้า ซึ่งผมก็ใช้วิธีตามที่ได้ฝึกมากับหญิงเล็ก ในการตามรู้ แล้วก็ปล่อยมันไป ไม่ได้ต้อนรับเพื่อจมลงไปในความคิดนั้น หรือผลักไสให้ก่อเกิดความรู้สึกรังเกียจหรือโมโห “ไม่สิ หรือว่าเราจะทำไลน์สติกเกอร์ต่อดีนะ” แล้วความคิดขบวนใหม่ก็แล่นเข้ามาในหัวเพียงช่วงอึดใจถัดมา “คิดหนอ” ผมเพียงแค่เสวนาด้วยความรู้ตัวต่อความคิดนั้น “คิดหนอ” ต่อไปเรื่อยจนเมื่อรู้สึกว่าความคิดได้ค่อยลง ผมจึงกลับมาที่การเฝ้าดูลมหายใจต่อ “แล้วก็ต้องออกกำลังกายด้วยนะ…แล้วข้าวเช้าล่ะทานอย่างไร…แล้วเรื่องคนรักในอดีตน่ะ ทำใจได้แล้วหรือยัง…เอ๊ะแล้วความคิดแรกคืออะไรนะ…ความคิดที่สองล่ะ…ทั้งหมดรวมแล้วกี่ความคิด…วาดรูปพี่สาวก่อนจริงหรือ…ไลน์มั้ยล่ะ…” ทันใดความคิดก็ถาโถมเข้าสู่หัวสมองของผมอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วเพียงไม่นาน หลังจากที่ผมก็พยายามกำหนดรู้ต่อไป เสียงจับเวลายี่สิบนาทีก็ดังขึ้น เป็นการจบช่วงเวลานั่งสมาธิที่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนว่า ไม่ใช่ทุกครั้งที่การนั่งสมาธิจะต้องมีแต่ความสงบ ทุกครั้งก็คือการฝึกสติ ฝึกรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ณ แต่ละลมหายใจ แล้ววันนี้ ลมหายใจของผมก็ทุกกลบไปด้วยมวลความคิดระลอกใหญ่ ผมเริ่มต้นวันนี้ในความรู้สึกที่ค่อนข้างสับสนปนเป ไปกับความขึ้นๆลงๆของความคิดของตัวเอง สิ่งที่ช่วยให้ผมได้สติกลับมาทีละน้อยอย่างนึง ก็คือการที่ได้เขียนสะท้อน หรือบันทึกความคิดลงใน Journal เพื่อเป็นการเรียบเรียง แล้วก็จับเอาความคิดอันฟุ้งเฟื่องให้เป็นกลุ่มก้อนมากขึ้นก่อนจะขมวดลงเป็นตัวอักษรไว้บนหน้ากระดาษ ในท้ายที่สุด ผมก็เลือกที่จะ ให้เวลา ตัวเอง ในการค่อยๆเอาตัวเองมาอยู่กับกิจกรรมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนทางเดียวในการที่ผมจะหลุดออกจากความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดลบ และความรู้สึกที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ความคิดก็คงเป็นเหมือนระลอกคลื่น ถ้าเราได้แค่เฝ้ามองดูมันเสมือนเราเป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่แวะมาพักตากอากาศที่ริมชายหาด หรือจะเป็นนักกีฬาที่โต้คลื่นนั้นอย่างชำนิชำนาญ คลื่นความคิดเหล่านั้นก็คงจะเป็นประโยชน์ให้เราได้บ้าง แต่ถ้าเราปล่อยให้คลื่นความคิดนั้นหมักหมมเวียนวน สั่งสมจนกลายเป็นดั่งคลื่นสึนามิลูกใหญ่ ความคิดเหล่านั้นก็คงจะแปรเปลี่ยนมาทำลายเราได้ วันนี้ช่วงบ่ายผมจึงตกลงที่จะออกแบบไลน์สติกเกอร์ให้เสร็จ เพื่อส่งเข้าสู่ระบบการพิจารณา หลังจากที่ผมพยายามจะจัดการกับความคิดของตัวเอง แล้วลงมือค่อยๆ ใช้สมาธิจดจ่ออยู่ที่งานคอมนั้นชายกลางก็อาสามาช่วยผมอีกแรงในการแปรเปลี่ยนความคิดที่ร้ายกาจเหล่านั้นให้กลายเป็นอากาศบริสุทธิ์

“พี่ทองไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะกลางก็เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องอยู่กับความคิดมาตลอดเหมือนกันครับ เพราะกลางชอบอ่านหนังสือ” ชายกลางโผล่ออกมาจากหลังกระถางต้นไม้ที่ตั้งอยู่ริมบันไดในสวน ความคิดอันรกรุงรังที่ก่อตัวขึ้นแต่เช้า ทำเอาผมเกือบลืมที่จะทักทายน้องๆไม้หัวในวันนี้ “เวลาเราอ่านหนังสือ เราก็จะเกิดความคิดต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่สอดคล้องไปกับเนื้อหาที่อ่าน หรือความคิดที่เกิดขึ้นเพื่อสะท้อน วิจารณ์ หรือตอบโต้สิ่งที่เราได้อ่านนั้นๆ อย่างไรก็ตาม กลางเรียนรู้ที่จะ ใช้ ความคิด ไม่ใช่ให้ความคิดใช้เราแทนครับ” ชายกลางบอก “แล้วสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด ที่จะทำให้ความคิดเหล่านั้นหายไปคืออะไรรู้มั้ยครับ” ผมสายหัวอย่างอ่อนล้า เนื่องจากเมื่อคืนผมพักผ่อนไม่ได้เพียงพอเท่าไหร่ “ก็คือการที่เราไม่ต้องไปสนใจมันครับ พี่ทองนั่งทำงานไปนะครับ ไม่ต้องสนใจผม ผมจะขอเกาะดูพี่ทองอยู่ตรงหน้าคอมแบบนี้ สักครู่” ชายกลางพูดจบก็เดินไปเอาตัวเกาะห้อยอยู่ที่ตรงกลางของจอเครื่องแม๊คบุ๊ค ชายกลางปิดตาลง แล้วทันใดนั้น ผมก็สัมผัสถึงคลื่นของอะไรบางอย่าง “พี่ทองไม่ต้องสนใจผมนะครับ ทำงานๆไปนะครับ พวกเรารอดูสติกเกอร์ที่พี่ทองกับหญิงเล็กช่วยกันดีไซน์อยู่นะครับ สู้ๆๆๆครับ” ชายกลางเหมือนอ่านใจผมออกว่าผมกำลังเริ่มเสียสมาธิกับความรู้สึกบางอย่างที่สัมผัสได้ ผมจึงทำตามสิ่งที่น้องชายบอก แล้วจดจ่ออยู่กับการวาดสติกเกอร์จนเสร็จ เสร็จแล้วชายกลางก็ลืมตาตื่นขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ” “ใช่แล้ว เสร็จเรียบร้อย สรุปมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมพี่ก็รู้สึกว่าพี่สามารถจะมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้าได้อยู่” “ผมก็แค่ดูดพลังความคิดลบ ความคิดฟุ้งซ่านของพี่ทอง แล้วแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสมาธิที่ดีแทนครับ” ชายกลางเฉลยให้ผมฟัง “การที่พี่ทองรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่ข้างๆตรงนี้ ก็อาจจะทำให้พี่ทองรู้สึกง่ายขึ้นที่จะ ปล่อยวาง ไม่ต้องอยู่คนเดียวกับความคิด ครับ” ชายกลางตอบผม “ผมสัมผัสได้ถึงความคิดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เยอะแยะเลยนะครับพี่ทอง ชายกลางว่าหนังสือดีๆสักเล่มก็จะช่วยพี่ทองได้นะครับ กลางอ่าน Kindle พี่ทองจบไปหลายเรื่องแล้ว กลางคืนให้พี่ทองใช้อ่านก่อนดีกว่า ถ้าเกิดพี่ทองยังคิดว่าหนังสือที่มียังมีเนื้อหาไม่น่าสนใจ” “ไม่เป็นไรครับกลาง กลางยืมไปก่อน พี่ก็คิดว่าพี่ควรจะเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น หลังจากที่วางแผนมานานหลายวัน” “อ่านนะครับพี่ทอง กลับมาอยู่กับจิตใจตัวเองในปัจจุบันกันนะครับ ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต แม้กระทั่งเรื่องราวใกล้ๆเพียงแค่เมื่อวานก็ตาม มันจบไปแล้วนะครับ มันไม่มีอยู่จริงแล้วในตอนนี้ ปล่อยมันไปดีกว่าครับ เอาพลังงานนั้นมาสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่าแทนดีกว่าครับพี่ทอง” ชายกลางให้กำลังใจผม “ผมขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะค้าบ” ชายกลางตอบแล้วจึงหายตัวเข้าไปภายในบ้าน ความคิดตอนเช้าที่ว่าผมรู้สึกอ้างว้างไม่มีใคร ตอนนี้กลับกลายเป็นความคิดที่ว่า ผมรู้สึกขอบคุณที่มีคนที่ยังห่วงใยแล้วก็ให้กำลังใจผมข้างๆ ขอบคุณมากครับ

Previous
Previous

ของ(เกือบ)ตาย

Next
Next

นางสุชาดา