เรื่องเล่าใต้ห้องนอนตอนที่ 17 : ชายเล็กและหญิงเล็ก
"นี่มันดอกอะไรจะกินได้ไหมนะ" ชายเล็กพูดกับตัวเองในขณะที่จ้องมองพินิจพิเคราะห์ไปยังดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดิน ห่างออกไปไม่ไกลจากบ้านโพรงต้นไม้ที่เหล่าไม้หัวเพิ่งจะได้ย้ายมาอยู่ไม่ถึงครึ่งปีได้ "เดี๋ยวค่อยไปถามพี่ชายกลางเอาละกัน ธรรมชาติอุตส่าห์ส่งเสียงกระซิบบอกว่าให้ลองดูแบบนี้ ชั้นก็ต้องฟังไว้ก่อน" ชายเล็กบอกตัวเองแบบนั้น ช่วงนี้ชายเล็กก็เพิ่งเริ่มเปิดเรียนที่โรงเรียนชายล้วน โรงเรียนเดียวกับพี่ชายกลาง เค้าก็จำไม่ได้หรอกว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นว่าพี่ชายใหญ่กับพี่หญิงใหญ่ต้องไปเรียนที่โรงเรียนสห. ส่วนเค้ากับพี่ชายกลางต้องเรียนที่โรงเรียนชายล้วน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่พ่อกับแม่เค้าตระเตรียมการเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นใจ
ชายเล็กเริ่มปะติดปะต่อหาไอเดียสูตรอาหารที่คิดจะทำคืนนี้ ชายเล็กเป็นลูกมือพี่ชายใหญ่อยู่บ่อยครั้ง จริงๆแล้วบ้านไม้หัวก็ทำอาหารกันเป็นเกือบหมด ก็จะมีแต่พี่หญิงเล็กล่ะมั้งที่ไม่ค่อยได้เข้าครัวเสียเท่าไหร่ เหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยถูกกับกิจกรรมที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนหรือมนุษย์ต้นไม้ด้วยล่ะมั้ง วันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งพี่ชายใหญ่บอกเอาไว้ว่าเค้ากับพี่หญิงใหญ่อาจจะกลับช้าหน่อย เพราะว่าเป็นวันที่ทางโรงเรียนจะมีกิจกรรมทางชมรมกันแล้วนักเรียนจะอยู่กันเย็น ดังนั้นให้ทำอาหารกันเองไปก่อน ในขณะที่พี่ชายกลางยังคงง่วนกับการค้นหาสูตรอาหารพิสดารจากกรุความทรงจำที่เก็บไว้ในปล่องความคิดของเค้า ชายเล็กก็เลือกที่จะเดินหาแรงบันดาลใจจากวัตถุดิบเครื่องปรุงที่เค้าเจอในธรรมชาติมากกว่า "เห็ดนี้จะมีพิษมั้ยนะ" ชายเล็กเดินมาถึงทางที่ปูลาดด้วยยาง เค้าเดาว่าน่าจะเป็นทางสำหรับปั่นจักรยาน พี่ชายใหญ่เล่าให้ฟังโดยสังเขปก่อนที่ทุกคนต้นจะมาที่ๆแห่งนี้แล้ว ว่าที่นี่เป็นเสมือนปอดของกรุงเทพฯ เป็นที่นิยมสำหรับนักปั่นจักรยานที่ชื่นชอบธรรมาชาติด้วย ชายเล็กจึงระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้ใครเห็น แล้วจึงบรรจงเก็บเห็ดที่ขึ้นอยู่ที่พื้นใส่ตะกร้าที่เค้าหอบมาจากบ้าน ตะกร้าซึ่งพี่หญิงใหญ่ช่วยสานไว้ให้ตั้งแต่วันหยุดที่ผ่านมา "ขอบคุณนะครับธรรมชาติ ผมจะขอวัตถุดิบนี้ไปปรุงทาน เพื่อจะได้เป็นเรี่ยวแรงในการดำเนินชีวิตต่อไป ก่อนจะกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง" ชายเล็กกระซิบเบาๆสู่พื้นดินที่ดูเปียกชื้นจากฝนที่ตกเมื่อวาน นี่คือวิธีแสดงความขอบคุณต่อของจากธรรมชาติที่เค้าเก็บมา
"มุดหนอ มุดหนอ" หญิงเล็กส่งเสียงขึ้นในใจตัวเองขณะที่กำลังมุดลงใต้ดินซึ่งให้ความรู้สึกเย็นเฉียบไปหมด "เย็นหนอ เย็นหนอ" เธอเริ่มเปลี่ยนคำบริกรรมไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน "คุณจะไปเข้าใจอะไรได้ยังไง!!! คุณไม่รู้หรอกว่า มนุษย์น่ะ ร้ายกาจขนาดไหน!!! ถ้ามีใครมาเห็นว่าพวกเราพูดได้แบบนี้ มีหวัง พวกเราโดนจับไปขายหรือไม่ก็เอาไปโชว์ในคณะละครสัตว์เป็นแน่!!!" ทันใดนั้นเสียงของคุณแม่ที่กำลังตะหวาดใส่คุณพ่อก็ดังแว้บขึ้นมาในหัวของหญิงเล็ก หญิงเล็กรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที แล้วทันใดนั้น ความอัดแน่นของพื้นดินก็เริ่มถาโถมเข้ารอบตัวหญิงเล็ก "บริกรรม รู้หนอ หญิงเล็ก รู้หนอ" จากนั้นหญิงเล็กก็ได้ยินเสียงของคุณอาชมพู่ที่เป็นปรมาจารย์ด้านการมุดดินดังแทรกเข้ามา "กลัวคะ ไม่ชอบคะ การทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ชอบคะ" หญิงเล็กขมวดคิ้วแน่น "ผมรู้ดี!!! แต่นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว การที่พ่อของคุณเคยถูกคนเก็บไปไว้ในพิพิธภัณธ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องร้ายๆแบบนั้นจะต้องมาเกิดกับลูกๆของเราเสียที่ไหนกันล่ะ! คุณต้องเลี้ยงให้พวกเค้าอยู่บนโลกนี้ได้สิ!!!" เสียงของคุณพ่อดังขึ้นบ้าง ตอนนี้หญิงเล็กรู้สึกเหมือนมีเศษดินหลุดเข้ามาในหูบ้าง ในปากบ้าง เธอเริ่มไม่ไหวแล้ว เธอจึงส่งพลังให้ตัวเองลอยทะยานขึ้นเหนือพื้นดิน วันนี้คงต้องพักการฝึกฝนไว้เพียงเท่านี้ก่อน
"หนูพ่ายแพ้ให้กับตัวเองอีกแล้วค่ะ" หญิงเล็กพิมพ์ข้อความไปยังคุณอาชมพู่ผ่านทาง 'รากไม้' โซเชียลมีเดียของมนุษย์ต้นไม้ มีน้ำตาหยดลงบนหน้าจอของโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เธอจ้องเขม็งไปที่หน้าจอหวังว่าคุณอาจะตอบมาในทันที แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรู้ดีว่าภายนอกที่อาจจะดูสงบและเคร่งขรึมของเธออาจจะทำให้คนอื่นคิดว่าเธอจัดการอารมณ์และความคิดตัวเองได้ดี แต่แท้ที่จริงแล้วไม่เลย ในใจเธอมันเหมือนพายุมรสุมที่รอวันปะทุออก เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกอย่างที่เกิดรอบตัวเธอมันเหมือนเพิ่มระดับทวีคูณความเข้มข้นในตัวเธอเสมอ เมื่อสุขเธอก็สุขล้นปรี เมื่อเศร้าเธอก็ดำดิ่งได้อย่างมหันต์ นี่มันเป็นดั่งคำสาปชัดๆ ครั้งแรกที่เธอได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เธอจำได้ว่าเธอรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวด้วยความกลัว เธอตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่สามารถนอนต่อได้ แล้วจึงออกไปมองดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับตามที่พี่ชายใหญ่พร่ำสอนเธอไว้ เธอจำไม่ได้เสียทีเดียวว่าตอนนั้นพ่อแม่เลี้ยงพวกเธออยู่ที่ไหนในประเทศไทย แต่เธอจำได้ว่ากลิ่นของป่านั้นหอมหวนมาก เธอเดาว่ามันน่าจะเป็นทางภาคเหนือของประเทศ แต่เธอก็ไม่เคยได้ถามเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเธอเลย เธอเริ่มพูดจาน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกว่าคำพูดมันนำพาให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ไม่ใช่แค่ในหมู่มวลมนุษย์ แต่แม้กระทั่งในตัวมนุษย์ต้นไม้เองก็ตาม เธอไม่มองหากระทั่งความรักความสัมพันธ์ จริงๆเธอเองนี่แหล่ะที่บอกกับพ่อและแม่ว่าอยากจะขอเรียนหนังสือที่บ้านเป็น home school เพราะเธอไม่พร้อมที่จะเจอกับคนมากๆได้ แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นรอยแผลลึกๆในใจเธอมากกว่า ที่ต้องฟังพ่อกับแม่ทะเลาะกันทำให้เธอกลัวที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับใครๆ เธอจมความคิดไปประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วคุณอาชมพูก็ส่งข้อความกลับมา