ความไม่รู้
“วันนี้อากาศร้อนสุดๆเลยนะครับเนี่ย กระเป๋าผ้าแห้งแล้วมั้งครับผมว่า” ชายใหญ่ทักจนผมต้องเหลือบตาออกไปมองยังพื้นหญ้าไกลออกไปไม่ถึง 2 เมตร จากจุดที่ผมนั่งวาดไลน์สติกเกอร์อยู่
วันนี้ผมมาบ้านบางใหญ่กับคุณแม่ ชื่อบ้านคงเป็นลางที่บอกให้ผมพาชายใหญ่มาด้วยละมั้งครับ วันนี้เค้าเลยลุยเดี่ยวมาเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ขามาก็นั่งเงียบเรียบร้อยอยู่ในกระเป๋าผ้าใบสีเขียวของศิลปินรุ่นพี่ พี่อร ที่ผมก็ชื่นชอบงานเค้ามาก ที่เอาไปตากแดดก็เพราะผมทะลึ่งเอาทัปเปอร์แวร์ที่มีข้าวผัดเนื้อนำ้มันเนย ใส่ลงไปด้วยนี่สิครับ มิน่าตอนระหว่างขับรถได้ยินเสียงเหมือนใครจามมาจากด้านหลังเบาะรถ ชายใหญ่คงแพ้นำ้มันเนย
“กลัวมั้ยครับพี่ทอง” ชายใหญ่คงเป็นห่วงผม เพราะผมเพิ่งได้ยินจากเพื่อนบ้านอีกครั้งว่าให้ระวังงูในสวนด้วย มีตั้งหลายขนาด “นั่นสิใหญ่ พี่ก็คงถอดแบบคุณแม่มา คงได้แต่คิดว่า ต่างคนต่างอยู่นะงู แต่ลึกๆก็กลัวแหล่ะ กลัวไปก่อน งูก็อาจจะกลัวพี่เหมือนกัน คนอะไรหัวสีฟ้า” ผมคุยกับน้องที่ชานระเบียงด้านนอกซึ่งติดกับสวนหลังบ้าน อีกสักพักก็คงต้องยุติความเป็นฤาษีดัดตนนี้ แล้วก็ยอมจำนนต่ออุณหภูมิอันสูงลิ่ว ท้องฟ้าคงกำลังกระซิบถามผมว่าคิดถึงลอนดอนหรือยัง ผมก็คงจะกระซิบตอบกลับไปว่า คิดถึงสิ แต่เวลานี้ต่างคนต่างอยู่ก่อน
“อย่างที่แม่บอก ถ้าเห็นจะๆไปเลยคงไม่น่ากลัว” ผมพูดไปมือก็ขยับสเก็ตช์ภาพสติกเกอร์ชิ้นที่ 15 ไปด้วย ตอนนี้ความจริงก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กับโปรเจคสติกเกอร์ขยับได้ 24 ชิ้น โปรเจคในตำนาน
“แล้วเราล่ะกลัวอะไรบ้างใหญ่” ผมถามน้องกลับบ้าง ปกติผมไม่ค่อยได้คุยกับน้องคนนี้มากเท่าไหร่ เพราะเค้าจะง่วนๆทำโน่นทำนี่ไม่ปล่อยตัวเองให้ว่าง หรือถ้าเวลางานเสร็จแล้ว เค้านี่แหล่ะ ที่ช่วยทำให้ผมซื้อเน็ตฟลิกซ์มาแล้วรู้สึกคุ้ม เพราะเค้าก็จะไล่ดูทั้งหนังแล้วก็ซีรีส์ไปเรื่อย เค้าดูได้ทุกแนวครับต้นนี้ ราวกับว่าจิตวิญญาณผู้กำกับเข้าสิง ดูเสร็จแต่ละเรื่องก็จะรี่ไปหาน้องชายกลางเพื่อวิจารณ์บทบ้าง การแสดงของนักแสดงบ้าง ให้สหายนักบริโภคเรื่องราวได้ฟัง เห็นล่าสุดคุยถกเรื่อง 16 บุคลิกภาพกับชายกลาง เพราะไปดูซีรีส์เรื่อง Umbrella Academy ครับ เค้าบอกว่าเค้าชอบตัวละครในเรื่องเป็นพิเศษ เพราะมันเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่มีพลังพิเศษ เค้าคงอยากทำความเข้าใจผู้คนหลายๆแบบ เผื่อเอามาใช้เวลาสื่อสารกับน้องๆมั้งครับ
“กลัวไม่เป็นประโยชน์น่ะสิครับ” ชายใหญ่พูดออกมาโดยไม่ต้องไตร่ตรองอะไรนาน มือก็ขยับกล่องดินสอ จัดเรียงปึกกระดาษกองเล็กหลายกองที่ผมออกแบบสติกเกอร์ลายก่อนๆไว้ ซึ่งวางกระจัดกระจายเกิดเป็นอาณาจักรอยู่ทั่วพื้นโต๊ะ ให้เรียบร้อย “เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่จะไปรดน้ำต้นไม้ให้ครับวันนี้ ให้ใหญ่ทำเถอะนะครับ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าห้องก็ค่อยๆเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ใหญ่เลยพาเป็นเพื่อนพี่ทองได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องอยู่จัดห้องต่ออีกสักหน่อย ตอนนี้มานี่ก็ไม่อยากปล่อยตัวเองว่างครับ พี่ทองช่วงนี้กำลังติดลมวาดสติกเกอร์ ก็วาดไปก่อนเถอะครับ ไหนจะแดดแรงเปรี้ยงๆแบบนี้ พี่ทองไข้จับแน่ครับ” ชายใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางซ้ายของโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสเริ่มออกท่าออกทางตามวิดิโอออกกำลังจาก MadFit ซึ่งปกติเวลาประมาณเที่ยงถึงบ่ายแบบนี้ เราสองคนก็จะเริ่มกิจกรรมนี้กันในห้องนอนผมที่คอนโด
“ขอบคุณในน้ำจิตน้ำใจนะครับใหญ่ ขยันแข่งกับคุณแม่พี่จริงๆเลยเนี่ย แกน่าจะหลับอยู่ตรงโซฟาตอนนี้ พี่รู้สึกผิดเลย เฉลยก็ได้ว่าจริงๆสติกเกอร์ชิ้นนี้พี่ว่าเราเนี่ยแหล่ะ ตอนคุยไปด้วยพี่ก็แอบมองเราไปด้วย ดูว่าจะเอาโพสไหนมาใช้เป็นแรงบันดาลใจประกอบกับคำพูดที่วางแผนไว้ให้เป็นคำของเราอยู่เนี่ย ฮ่าๆ” ผมบอกน้อง
ชายใหญ่ทำสีหน้าตื่นเต้น “คำว่าอะไรครับๆ ผมจำได้ว่าคำที่พี่ทองลงไว้ให้ผมก็มี Just do it! / Su su! / Yeah! / Good! ดูๆเป็นแนวให้กำลังใจหมดเลยนะครับ ผมเป็นต้นแบบนั้นเหรอเนี่ย” “ใช่แล้วใหญ่ เราเป็นคนน่ารักแบบนั้นนั่นแหล่ะ เอาจริงๆใหญ่ก็เป็นต้นไม้ที่มีคาแรกเตอร์ชัดเจนนะ เวลาพี่นึกถึงเราทำท่าทำทาง ก็จะมีภาพในหัวบางภาพฉายขึ้นมาซ้ำๆ ซึ่งพอมันเป็นอะไรที่เรารู้อยู่แล้ว เห็นอยู่ประจำเนี่ย มันไม่ท้าทายเอาเสียเลย มันไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่”
“ผมเชื่อว่าเดี๋ยวพี่ทองก็ต้องทำมันออกมาได้ดีครับ!” ผมพูดจบไปไม่นานเท่าไหร่ ชายใหญ่ก็ทำท่าประจำ ยกนิ้วโป้งให้ผม เค้าคงไม่รู้ตัวจริงๆ มันก็คงคล้ายๆกับเวลาผมร้องเพลงในแอพลิเคชัน Smule ผมก็สังเกตเห็นตัวเองก็ตอนที่อัดเพลงจบแล้วว่าตัวเองก็จะใช้มือทำท่าอยู่ไม่กี่ท่า แบมือ ชูกำปั้น แล้วก็ยกนิ้วชี้ชี้ขึ้นเพดาน ไว้ว่างๆคงต้องไปเข้าคลาส psychoanalyse กับน้องกลางเรื่องจิตวิทยาภาษามือซะหน่อย
ผมเกือบจะหลุดเข้าไปในโหมดของความสบายใจ พอได้ยินคำให้กำลังใจจากน้อง แล้วก็ตอบรับชายใหญ่ไปว่าโอเค แต่ลึกๆแล้ว เมื่อค่อยๆกลับมาฟังเสียงของความเป็นตัวเองจริงๆอีกที รวมถึงบทเรียนที่ผมได้ทำซ้ำๆในช่วงเวลาอันใกล้ที่ผ่านมา สัญชาติญาณตัวน้อยๆ (ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ) ของผมก็ตะโกนสุดเสียง ราวกับโรสที่กำลังเป่านกหวีดเรียกให้เรือบดมารับหลังจากที่เรือใหญ่ไททานิคอับปางลงเพราะเธอต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ก็ไม่ปาน มันตะโกนบอกผมว่า เห้ย นายไม่รู้หรอกว่านายกำลังทำอะไร แล้วนายก็ไม่มั่นใจเอาเสียเลยด้วยว่ามันจะออกมาดีหรือไม่! ออกจะมั่นใจมันจะต้องเห่ยมากๆด้วยซ้ำ!! แต่นายก็รู้ ว่านั่นแหล่ะ คือสัญญาณที่กำลังบอกว่านายกำลังเดินไปถูกทางแล้ว!
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะออกมาดีไหมครับใหญ่ เดี๋ยวก็รู้” ทันใดนั้น ลึกลงไปยังมหาสมุทแอนแลนติก ใจกลางจิตใต้สำนึกอันดำมืดของผม โรสรวบรวมพลังชีวิตที่ยังเหลืออยู่ สูดลมหายใจเฮือกโตแล้วเป่า ปี๊ดดดดดดด ส่งเอาแรงดันของอุดมการณ์และความเชื่อ ผ่านนกหวีดของเธอเป็นครั้งสุดท้าย “เอ้ย ไม่สิ” ผมได้ยินเสียงนั้น “ก็ปล่อยให้มันไม่รู้ไปเรื่อยๆนี่แหล่ะ” แล้วผมก็จัดการต่อชีวิตให้กับโรสได้สำเร็จ
น้องต้นไม้ไม่วายทำภารกิจส่งท้าย ยิ้มอ่อนให้ผม ก่อนจะพรางตัวหายเข้าไปในธรรมชาติขนาดย่อม หลงเหลือไว้แต่เพียงกลิ่นหอมจางๆของข้าวผัดเนื้อน้ำมันเนย