Day 5 of 7 เอ่อ ยังเขียนบทไม่เสร็จเลยนะครับวัดทะนะสัก
11:15 น. เอ่อ สวัสดีครับ ผมรู้ลึกละอายเหลือหลาย แต่ขณะเดียวกันก็เอ็นดูตัวเอง ฮ่า! ไม่เป็นไร เราค่อยๆไป ไม่มีใครว่าเสียหน่อย อิอิ วันนี้จะมาต่อกันที่การเขียนครับ ยังเขียนไม่จบ มันค่อยๆไปมาก (ไหนจะแวบไปซ้อมกีตาร์ เรียนไวโอลิน ซักโซฟา ฟังเพลงบัวขาวเพราะอยากเล่นให้ยายฟัง แอบดูโปเกม่อน หยิบหนังสือห้องครีเอเตอร์ญี่ปุ่นมาเปิดชิคๆเป็นแรงบันดาลใจ เสก็ตช์เก้าอี้ของ Herman Miller หยิบสีอคริลิกมาตั้งไว้เพราะเผื่อไว้ระบายกำแพง หมดละมั้ง เมื่อวาน) วันนี้จะมาฟังคลาสของ Seth Fried กันต่อ นี่อีก 6 วันเท่านั้น อิสรภาพแบบนี้ก็จะหมดไปปปปปปป ไป ไป ไป เพราะผมจะไปทำงานกับสำนักพิมพ์บีทูเอส วะฮ่า! มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกิน ว่าไหมครับ คุณผู้อ่าน (รู้สึกเหมือนเป็นจูลี่ในจูลี่แอนด์จูเลียเลยแฮะ ต้องมีหนุ่มหวานใจด้วยไหมนะ)
Topic #6 Plot
ตอนนี้เราก็แค่สนใจที่คาแรกเตอร์ของเราว่า เค้าจะพยายามเอาชนะอุปสรรคได้ยังไงแบบนี้น่ะ
Plot: What happens?
Tips for good plots
Stakes เดิมพัน มันต้องสำคัญในการที่คาแรกเตอร์เราจะต้องฝ่าอุปสรรค เช่น ถ้าเค้าอยากกินคุ้กกี้ แต่เค้าไม่ได้กิน แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น มันก็แค่นั้น แต่ถ้า เค้าดันเป็นคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำแล้วดันติดอยู่ในลิฟต์ล่ะ นั่นล่ะ จะเป็นการสร้างความตึงเครียดของเรื่องราวขึ้นมาได้ เป็นต้น
Cause and effect คือการที่เราเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆอย่างเป็นเหตุเป็นผล เช่น ถ้าเราบอกว่า ชายคนหนึ่งตกงาน แล้วเค้าก็หย่า ถ้าแบบนี้มันก็ฟังดูเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวโยงกันเท่าไหร่ แต่ ถ้าเราเขียนใหม่เป็น ชายหนุ่มตกงาน ‘ดังนั้น’ เค้าก็เลยต้องกลับบ้านเร็วขึ้น ‘จากนั้น’ เค้าก็จับได้ว่าแฟนกำลังเล่นชู้อยู่กับชายคนใหม่ แบบนี้เป็นต้น มันก็จะเกิดความเกี่ยวโยงของเรื่องราว cause and effect! (เหยอ ตื่นเต้นชะมัด พี่ทอง ชายกลางบอกผม) fried บอกว่า cause and effect แบบนี้จะทำให้เกิด ‘story momentum’ อืมมม ดี ชอบโมเมนตั้มฟร่ะ (ว่ะ)
Obstacles (with an s! so there are several ones) ใส่อุปสรรคหลายๆอย่างเข้าไป (เหมือนกับชีวิตจริงที่เราไม่ได้มีแค่อุปสรรคเดียวจริงไหม อย่างตะกี้เรากำลังแฮปปี้ดี เริ่มเครียดเพราะพี่ที่บริษัทเริ่มถามเรื่องคอมพิวเตอร์ที่จะไปใช้ทำงาน เราเริ่มคิดมากว่าอยากได้โต๊ะทำงานติดท้องฟ้า เริ่มคิดมากว่าจะอยู่ได้นานไหม แถมกินกาแฟฟรีของพี่สาวแล้วยังจะคิดว่าหวานไปอีก เรื่องเยอะจริงๆนะนายทอง) เค้าบอกว่าอุปสรรคจะช่วยบิ้ว tension ของตัวละครไปจนถึงจุด ไคลแมกส์! สุดยอด! ของเรื่องราวน่ะ จน กระ ทั่ง ฟังดีๆนะ ตัวละครต้องตัดสินใจกับอะไรที่ยากลำบากแล้วก็เป้นการตัดสินใจที่ เปิดโปง อะไรสักอย่างของตัวละครนั้น ‘your character is forced to make a difficult and character revealing decision.’ โดยอย่างนึงที่เป็นเทคนิกง่ายๆก็คือการที่ทำให้อุปสรรคที่ตัวละครต้องเจอครั้งต่อไป ยากกว่าครั้งแรก งี้น่ะ
Step #6
summarize your story
1. Beginning: Desire, Obstacle (the main one), Stakes (why it’s important that the character overcome the obstacle.)
2. Middle: Series of escalating obstacles (that your character will face in pursuit of the goal.) Remeber to arrange these from smallest to biggest and link them with cause and effect. This leads to the climax, where the character is forced to make a revealing decision.
3. Ending: Brief description of the new world (wow love!) can be as short as a paragraph. what’s the world of the story will be like after the climax is happened โหย ใช่เลย ถึงตรงนี้ บรรลุมาก เรื่องราว อนิเมชั่น หนังที่ดู ที่เคยคิด ก็คืออย่างนั้นจริงๆ มันช่วยเราเปลี่ยนมุมมอง มองโลกในมุมใหม่ได้มากขึ้น ช่วยมาย้ำเตือนว่าเรากำลังสวมแว่นคู่ไหนอยู่ตอนนี้แบบนั้น แล้วทำให้เห็นว่าจริงๆมีแว่นอื่นอีกมั้ยแบบนี้ นึกถึงความรู้สึกต้องดู soul จบ อะไรก็สวยงามไปหมดในปัจจุบัน
เอาล่ะ เราจำเอาเรื่องหญิงใหญ่มาลองเขียนกัน
Beginning:
Desire ของหญิงใหญ่ก็คือ เธอต้องการรู้ว่าตัวเองชอบอะไรเพียงหนึ่งอย่าง เพื่อที่เธอจะสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นตัวตนของเธอ ความต้องการของเธอคือ เธออยากประสบความสำเร็จในการงาน เพราะเธอคิดว่านั่นจะนำมาซึ่งความสนใจจากคนอื่น เธอเลยอยากหาสิ่งนั้นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอเฉิดฉาย สิ่งเดียวที่เธอจะทำได้ดีที่สุดแซงหน้าใครๆ สิ่งที่เธอจะเอาไว้ใช้อวดคนอื่นได้ ว่านี่คือความเจ๋งของเธอ เธอต้องการเป็นที่ชื่นชมหรือเปล่านะ ต้องการเป็นที่สนใจ หรือจริงๆเธอกลัวไม่มีใครสนใจเธอหรือเปล่านะ ขาดความรักเหรอ? สรุปแล้วยังไงดี ถ้าบอกว่าอยากประสบความสำเร็จ มันดูไม่ใช่เสียทีเดียว สำเร็จคืออะไรล่ะ วัดยังไง เธออยากเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนมากกว่าหรือเปล่านะ ยิ่งเยอะยิ่งดี แล้วเธอก็คิดว่าการที่จะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนได้ ต้องเก่ง แล้วการจะเก่งได้ ก็ต้องเก่งด้านเดียวให้สุดไปเลย นี่คือสิ่งที่เธอเชื่อ เธออยากโด่งดังมากกว่าหรือเปล่านะ สมมติเธอเก่งด้านนึงมากๆใช่ แต่ว่าคนไม่รู้จัก เธอยังจะอยากไหม ใช่ คงไม่ เธออยากให้คนพูดถึงเธอ เธออยากเป็นคนสำคัญนี่เอง แล้วเธอคือก็คิดว่าคนสำคัญ เค้าสำคัญเพราะเค้าเชี่ยวชาญกับอะไรสักอย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง คิดว่าคนสำคัญเค้าสำคัญได้เพราะปัจจัยอะไรสักอย่างหนึ่งเนี่ยแหล่ะ อยากเป็นคนดัง อยากเป็นเซเลบ อยากมี follower ใน roots เป็นแสน แล้วเธอก็โทษว่า เพราะเธอไม่ได้มีลายเซ็นเอกลักษณ์ หรือความชอบด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะตัวทำให้เธอไม่โด่งดังพลุแตก แบบคนอื่นเขา เอาใหม่คือ เธออยากประสบความสำเร็จ ก็คือเป็นคนดังในสังคม แล้วเธอก็สังเกตว่าคนดังในสังคม ดังเพราะว่าเค้าเก่งด้านใดด้านหนึ่งจนสุด ทำสิ่งนั้นซ้ำๆ มีงานต่อเนื่อง มีตัวตนชัดเจน มีลายเซ็น เธอเลยกลัวว่าเธอจะหาตรงนั้นของเธอไม่เจอ desire and fear how do they relate? สรุป desire ก็คือ อยากจะเป็นที่ยอมรับนับถือชื่นชอบจากสังคม โดยคิดว่าจะเป็นแบบนั้นได้ ต้องเก่งในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ จนผู้คนยอมรับ ต้องชอบอย่างเดียว ทำอยู่อย่างเดียวซ้ำๆต่อเนื่อง ฟอลโลเว่อบนรูทส์เป็นแสนขึ้นไปเท่านั้น (อยากโยงไปหาเรื่อง wants vs needs and also inner conflict ทำไงดี ค่อยว่ากัน ลองวิธีของ fried ดูก่อน) (อย่าทำให้ชีวิตกยากนักเลย เริ่มจากง่ายๆก่อน เส้นเรื่องง่ายๆก่อน อ่านทีละครูด้วย อ่านปนไปหมดมัน overwhelmed! less is more for the process too!)
Obstacle (จับเวลาสิบห้านาทีนะหลังจากนี้เขียน ไม่งั้นไม่จบ ไม่ก็คิดนานไป) (อยากอ่านคุณกบ inner conflict อย่าเพิ่งเลย ทำอันนี้ก่อน) อุปสรรคก็คือว่า (อยากลองอ่านโปรเจคของคนอื่นเป็นไอเดียด้วยน่ะ อยากไปโพสต์เหมือนกันแหะน่ะ) อุปสรรคก็คือว่า เธอชอบทำหลายอย่าง เธอเสียโฟกัสง่าย วอกแวกง่าย ไหนจะความชอบหลากหลายแล้ว เวลาเห็นน้องๆมีปัญหาก็จะเผลอเอาเวลาไปให้คนอื่นก่อนอยู่บ่อยๆจนลืมให้เวลาตัวเอง เธอมีปัญหาในการจัดการเวลาแล้วก็การทำงานให้เสร็จ แล้วก็เธอไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองด้วย นั่นแหล่ะ ถึงแม้จะมีป้ามะพร้าว นักร้องประจำบางกระเจ้าบอกว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านการร้องก็ตาม แต่เธอก็ยังคง สงสัย ใช่ self doubt เธอทำเธอสงสัยเยอะมาก ว่ามันใช่หรือยัง
Stakes ทำไมถึงสำคัญ (เอ่อหมดเวลาแล้วสิบห้านาที…..ตอนนี้ไปเปิดเว็บอะไรอีกเพียบเลยตู จะบ้าตาย โวะ อยากอ่านคลาสโปรเจคของคนอื่นด้วยอ่ะ โอ้ยตายแล้น) ถ้าเกิดหญิงใหญ่ไม่ดัง เธอก็จะซึมเศร้างั้นเหรอ แล้วพี่น้องของเธอก็จะเศร้าไปด้วย หรือเปล่านะ ไม่ใช่สิ ถ้าเธอไม่ดังเธอก็จะไม่มีความสุข แล้วคนรอบข้างก็จะไม่มีความสุขไปด้วย stake พอไหมเนี่ย มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นความตายเสมอไปใช่ไหมนะ นั่นสิ สเตกมันยังไงนะ จริงๆเธอก็เพิ่งจะม.สี่เองในเรื่องตอนนี้ ถ้ายังหาสิ่งหนึ่งนั้นไม่เจอแล้วไงอ่ะ ก็ไม่มีใครว่านี่นา แล้วก็มาลองลิ้งค์ cause effect ดูก็คือว่า พอหญิงใหญ่สนใจหลายอย่าง เลยไม่มีเวลาให้กับการร้องเพลงอย่างเข้มข้น ก็คือเริ่มจากเธอเข้าสมัครทุกชมรม ไม่สิ ก็คือ เธอทำหลายอย่าง ทำให้เธอไม่ได้ร้องเพลงอย่างเดียว ทำให้ดอกชบาที่มาจากสวนคุณป้ามะพร้าวที่คุณป้าให้มาเริ่มเหี่ยว เพราะว่า โอ้ยไม่ เหอ เหมือนติดเรื่อง stake ตอนนี้ ไม่รู้ควรจะหา stake แบบไหน เธอ หรือว่า คือหมายถึง ถ้าเธอเกิดทุกข์ใจจากความเครียดจากการหาตัวเอง แล้วไง พี่น้องเศร้าไปด้วย แล้วไง ก้แค่นั้นไหม หรือว่า เอางี้ คือป้ามะพร้าวฝากดอกชบามาให้ เพราะว่าหญิงใหญ่ร้องเพลงแล้วชบาบาน ซึ่งจริงๆแล้ว ที่ชบาบานเพราะว่าเสียงร้องของหญิงใหญ่เต็มไปด้วยความสุข แล้วป้ากะจะเอาชบาบานไปเยี่ยมสามีที่ป่วยกำลังจะตาย แต่พอหญิงใหญ่เริ่มเครียดเพราะว่าพยายามตะบี้ตะบันร้องเพลงอย่างเดียวปรากฏว่าดอกไม้ยิ่งเหี่ยวลงๆ จนเมื่อหญิงใหญ่ได้เริ่มให้เวลาตัวเองได้ทำสิ่งที่ถนัดอื่นๆเช่นสานตะกร้าให้ชายเล็ก ช่วยชายกลางแปลจดหมาย ช่วยชายใหญ่ทำอาหาร ช่วยกล่อมหญิงเล็กตอนฝันร้าย ซึ่งหลายๆที เธอจะฮัมเพลงออกมา ตอนนั้นแหล่ะที่ดอกไม้เริ่มบาน แสดงว่ามันไม่ได้เกี่ยวว่าเธอร้องเพลงเก่ง แต่มันคือเสียงเพลงที่ร้องออกมาเพื่อคนอื่นต่างหากที่ทำให้ดอกไม้บาน แล้วสุดท้ายเธอก็ทำให้ดอกไม้บานได้ทั้งสวนก่อนที่สามีของคุณป้ามะพร้าว ก็คือคุณลุงอัญชัน จะสิ้นใจพอดี ดังนั้น stake ที่สำคัญก็คือ ไม่สิ desire ของหญิงใหญ่ก็คือการที่ตัวเองอยากจะเป็นคนสำคัญซึ่งเค้าคิดว่าเค้าแค่ต้องร้องให้เพอร์เฟค ฝึกฝนมันอย่างเดียว ให้เพราะที่สุด แต่จริงๆเค้าแค่ต้องร้องให้คนอื่นได้ฟังต่างหาก นี่คือ need ของเค้า stake ก็คือ คุณลุงอัญชันที่กำลังจะตายโดยคิดถึงสวนชบาที่แม่ของเค้าปลูกไว้ให้ต่างหน้า หรือจริงๆก็คือ หญิงใหญ่แค่ต้องร้องเพลงออกมาจากใจ แบบที่่ไม่ได้ตั้งใจให้ต้งอเพราะน่ะ ร้องโดยคิดแค่ว่า อยากให้คนอื่นได้ฟัง แบบนั้น ไม่ใช่ร้องเพราะอยากให้คนอื่นชมหรือว่ามาชอบน่ะ ใช่ ร้องเพราะว่าซาบซึ้งหรือว่าอยู่ใน flow, to be passionate, to do it out of love for the singing itself, not for the fame or popularity, to do for the doing sake not for any expected outcome. โอ้ยยากจัง งงไปหมดละเด้อ ทีนี้
Middle อุปสรรคก็คือว่า เธอคิดว่าเธอรู้ว่าร้องเพลงแล้วชบาบาน แต่จริงๆไม่ใช่ อุปสรรคอะไรอีกหว่า น้องๆงอนเหรอ มันไม่ใช่เรือ่งของชอบหลายอย่างหรืออย่างเดียวแล้วนะตอนนี้ดูเหมือนว่า
Ending ก็คือว่า หญิงใหญ่เกิดการเรียนรู้ว่า เธอแค่ต้องทำในสิ่งที่เธอมีความสุข แล้วความสุขนั้นเองที่จะส่งต่อถึงคนอื่น แทนที่เธอจะไปทำอะไรด้วยความคาดหวังให้คนอื่นมาชอบเธอ (desire คือ อยากให้คนมาชอบเธอด้วยความสามารถของเธอ) เหมือนมันละเอียดอ่อนมีหลายเรื่องซ้อนไปมามาก โหย ซับซ้อนไม่ธรรมดาเลย เดี่ยวต้องมาอ่านเขียนอีกรอบ แล้วก็ดู khan academy pixar storytelling เป็นตัวอย่างอีกทีด้วยน่ะ
เอาให่นะ เธออยากให้คนมาชอบ แล้กว็คิดว่าต้องเก่งอย่างเดียว แต่เธอดันสนใจหลายอย่าง อุปสรรคก็คือ มีชมรมเปิดใหม่เยอะแยะทำให้เธอยิ่งโฟกัสไม่ได้อะไรแบบนี้เหรอ แต่สุดท้ายถึงเธอเก่งอย่างเดียว มันก็ยังไม่จบ บทเรียนไม่ได้อยู่ที่การต้องเก่งอย่างเดียว เพราะถึงเก่งอย่างเดียว แต่ถ้ายังไม่คิดถึงคนอื่น มันก็ทำให้เค้ามารักเราไม่ได้ เราต้องให้รักคนอื่นต่างหาก ด้วยความาสามารถของเรานั้นเอง เอ้อ มั้ง ก็เลยเจออุปสรรคว่า เธอคิดว่าเธอเข้าใจแล้วแต่มันไม่ใช่ ดอกไม้ยังเหี่ยวอยู่ (ใช่อุปสรรคไหมเนี่ย) จนสุดท้าย เธอไปช่วยน้องๆทำโน่นนี่ ฮัมเพลงไปด้วย ดอกไม้ถึงเริ่มบาน ก็คือช่วงวิกฤติ ตอนที่เธอยอมเสียสละวเลาตัวเองน่ะ ยอมเลิกคิดถึงตัวเองน่ะ ถามว่าอะไรทำให้มันยากในการจะเสียสละเวลาให้คนอื่นล่ะ โอ้ยงงมากเด้อ โอ้ย ต้งเอาชีท readery มาดูใหม่ด้วยตอนนี้ งงมากจ้า