โป๊ะไฟ

746409DF-59F7-40A5-A7CA-F94D49CF0FD6.JPG

นี่ก็ผ่านมาได้ประมาณหนึ่งเดือนแล้วหลังจากที่ผมบินกลับมาจากอังกฤษ จนตอนนี้ผมก็กลับมาอยู่ที่ห้องนอนของตัวเองที่คอนโดแถวถนนสาทรใต้ ทุกเช้าตื่นมา ถ้าไม่โทรศัพท์หาพี่พัชรี ก็จะล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็ต่อด้วยการสวดมนต์นั่งสมาธิทันที จะมีบ้างก็บางวัน ถ้าเกิดตัวเองมีความฝันหนักมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆก็ฝันหนักทุกวันเป็นปกติ แต่เผอิญน้องสมเสร็จที่ชายกลางเลี้ยงไว้ ช่วยดูดออกให้ผมรึเปล่า แต่เอาว่า ถ้าวันไหนฝันเลอะเทอะจริงๆ ตื่นมาก็จะมีข้ามขั้นตอนไปเขียนเจอนัลก่อนบ้างเหมือนกัน

ยังไงซะผมก็ค่อนข้างพอใจกับการฟอร์มตัวของกิจวัตรใหม่นี้ ซึ่งยังไม่นับไปถึงการรดน้ำต่ออายุให้ป่าริมระเบียงหรือการขยับร่างกาย ออกกำลังช่วงก่อนมื้อเที่ยง แต่ถึงจะพอใจยังไง ความไม่เที่ยงก็เป็นสิ่งที่ย่อมเกิดขึ้นกับทุกๆสิ่ง ไม่พ้นกับเรื่องนี้ อย่างนึงที่คอยรบกวนจิตใจผมก็คงจะเป็นความคิด อาจจะเพราะผมก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรหลายๆอย่าง ประจวบกับที่สภาวะแวดล้อม ก็คือห้องนอนอันแสนรักของผมก็สุดแสนจะเต็มไปด้วยสารพันสิ่งของน้อยใหญ่ ทำให้ถ้าเกิดวันไหนไม่ตั้งสติดีๆ ผมก็อาจจะติดแหง็กอยู่กับการคิดวนซ้ำไปซ้ำมากับสิ่งที่ต้องการจะทำ

“แปลกดีนะหญิงเล็ก ทั้งๆที่งานผนังของพี่เจนซึ่งถือเป็นงานใหญ่พอสมควร วาดไปเป็นอาทิตย์ได้ พี่ก็วาดเสร็จแล้ว แต่ว่ายังรู้สึกเหมือนมีอะไรรบกวนจิตใจตลอดเวลา” ผมปรึกษาน้องสาวคนเล็กหลังจากที่ทานข้าวกลางวันเสร็จแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ในหัวก็ยังคงวนซ้ำกับกับดักความคิดคลาสสิคฉบับส่วนตัวก็คือ ‘ตะกี้นายคิดอะไรนะวัดสัก’ ซึ่งมันมีพลังมหาศาลมากดูดผมไว้จากความสงสัยนี้ “ตอนนี้พี่ทองมีเรื่องอะไรที่นึกถึงอยู่อันดับแรกคะ” หญิงเล็กถามผม เธอทำการแกะพลาสติกออกจากเฟรมผ้าใบชิ้นใหม่ที่กำลังจะเป็นอีกหนึ่ง งาน ที่จะเพิ่มเข้ามาในลิสต์งานทั้งหมดของผม ภาพวาดที่ผมกะจะวาดให้คุณแม่เนื่องในวันเกิดวันที่ 24 ที่จะถึงนี้

"งานของเพื่อนล่ะ” ผมตอบอย่างรวดเร็ว “มีสองงาน คนนึงเค้าจ้างพี่ไว้นานแล้ว อีกคนเพิ่งจะจ้างไม่กี่วันที่ผ่านมา” ผมอธิบายเพิ่มเติม “นานแล้วเหรอคะ” หญิงเล็กถามทวน “ก็ประมาณหลายอาทิตย์อยู่นะครับ พอดีตอนนั้นพี่ก็ยังอยู่อังกฤษแหล่ะ วันนั้นที่พี่คุยกับเพื่อนเรื่องนี้ เล็กอาจจะไม่ได้อยู่บ้าน คงไปเดินเล่นที่ Kensingtong Garden รึเปล่า พี่ก็จำไม่ได้ แต่ว่าเพราะพี่ก็กลัวเรื่องของโรคระบาดด้วย ก็เลยไม่กล้าจะส่งพัสดุหรือออกไปไหนมาก” ผมตอบน้องสาว

“ฟังดูแล้วพี่ทองยังมีความรู้สึกเหมือนจะยังรู้สึกผิดหรือว่ายังกังวลอยู่นะค่ะ” หญิงเล็กพูดต่อ มือก็วาดท่าอยู่กลางอากาศหน้าเฟรมผ้าใบ คล้ายเสมือนว่ากำลังวาดรูปอยู่ เธอน่าจะกำลังสเก็ตช์ภาพในหัวเพื่อวางแผนอะไรสักอย่าง “ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลตรงนั้นก็เป็นเรื่องของอดีตไม่ก็อนาคตทั้งนั้น” หญิงเล็กพูดคำคีย์เวิร์ดในชีวิตออกมา คำที่ฟังเท่าไหร่ก็ยังคงให้ความหมายที่ลึกซึ้งแต่ก็ง่ายที่จะถูกละเลย "ซึ่งพี่ทองก็แค่เอาความคิดความรู้สึกเหล่านั้นวางไว้ข้างๆก่อน แล้วก็เริ่มลงมือทำค่ะ”

ผมคิดสักครู่ว่าจะดึงดันพูดในสิ่งที่ยังกังวลหรือไม่ แต่นี่หญิงเล็กนะ เธอคงไม่ตัดสินอะไรผมหากสิ่งที่ผมทำจะดีหรือไม่ดี ได้หรือไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจพูดออกไป “แต่ประเด็นก็คืองานทั้งหลายมันดึงกันไปดันกันมานี่สิ ถ้าพี่ได้ลงมือทำงานให้เพื่อนก่อน อีกใจของพี่ก็จะทักท้วงถึงงานส่วนตัวอื่นๆเช่นงานสติกเกอร์เป็นต้น ไม่ก็อาจจะคิดถึงงานใหม่ๆเช่นงานวาดรูปให้คุณแม่…” “ซึ่งแน่นอนว่าในหนึ่งวันเวลาและพลังงานของพี่ทองมีจำกัด” หญิงเล็กพูดเสริมขึ้นมาทันทีในจังหวะที่ผมกำลังเริ่มจะตกลงไปในห้วงความคิด "ดังนั้นเราก็แค่ต้องการ ความตั้งใจ หรือว่า สมาธิ มาเป็นเครื่องช่วยคะ” หญิงเล็กเฉลยให้ผมในทันใด คงเพราะเธอไม่ต้องการสร้างความซับซ้อนอะไรให้ผมเพิ่มขึ้นอีกด้วยปริศนาคำทายอะไรทั้งสิ้น

“เดดไลน์ของงานทั้งสองคือเมื่อไหร่หรือคะ” คราวนี้เป็นเสียงของหญิงเล็กที่ยังคงถามผม แต่กลับเป็นหน้าของชายใหญ่ที่ลอยมา เมื่อพูดถึงเรื่องของการวางแผนงาน “ถ้างานเพื่อนคนแรกก็ส่งวันอังคาร ส่วนของเพื่อนอีกคนก็ส่งภายในวันนี้แหล่ะครับ” ผมตอบ “จริงๆ เล็กก็อยากจะเชียร์ให้พี่ทองจัดห้องให้เรียบร้อย คล้ายๆกับที่เราฟัง Readery กันตอนที่พูดเกี่ยวกับชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการจัดบ้าน หนังสือจากคุณมาริเอะ คนโดะ แต่เล็กก็เข้าใจว่างานสองงานนี้เร่งด่วน ดังนั้นเราก็ต้องหาวิธีในสร้างสภาวะที่ เอื้อ กับการสร้างสมาธินะคะ” รู้ตัวอีกทีเธอก็วางเฟรมผ้าใบพักไว้ที่ผนังโล่งซึ่งมีงานของพี่สาวผมตรึงปิดไว้อยู่ แล้วเธอก็ค่อยๆปีนขึ้นตั้งหนังสือที่วางอยู่ข้างเตียง ปีนเตียง แล้วก็กระพือปีกจากผมใบไม้ของเธอขึ้นมาที่โต๊ะทำงานของผม ผมเดาว่าการเดินในช่วงแรกคงเป็นการอยากจะออกกำลังกายของน้อง “ประสาทการรับรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เล็กว่าสิ่งภายนอกเหล่านี้น่าจะช่วยพี่ทองให้สามารถโฟกัสได้เก่งขึ้น ดังเช่นสิ่งที่พี่ทองก็เคยทำได้ดีไปแล้ว กับการฟังธรรมะไปพลางระหว่างวาดรูป เป็นการใช้เสียงให้เป็นประโยชน์ หรือว่าการจัดการ สภาพการมองเห็นตรงหน้าด้วยการ” เธอหยุดพูดแล้วจึงคลำหาสวิตช์เปิดปิดไฟของโป๊ะไฟที่โต๊ะทำงานของผม เสียง คลิ้ก ดังขึ้น แล้วไฟสีออกส้มก็สว่างวาบออกมา อาบเอาพื้นที่บนโต๊ะไปยังแมคบุ๊คแล้วก็กระดาษที่ผมกำลังจะเริ่มวาดงาน พอดิบพอดี

“หรือว่าจะจัดการกับสิ่งที่เราเห็นด้วยการเปิดโป๊ะไฟ แค่นั้นคะ ง่ายๆแค่นี้เล็กว่ามันก็น่าจะช่วยเพิ่มความดึงดูดให้เราต้องมาโฟกัสที่การทำงานภายใต้แสงจากโป๊ะไฟนั่นเอง” อีกครั้งที่ไม้หัวแสดงให้ผมเห็นอะไรที่ไม่ได้อยู่ไกลเกินความเข้าใจหรือเกินตัวผมไปที่ไหนเลย เพียงแค่ผมช้าลง แล้วก็ตั้งใจมากขึ้น เพื่อที่จะมองเห็นทางออกของปัญหา

Previous
Previous

ใหญ่ขี่วาฬมาช่วยแล้ว

Next
Next

Watsak’s Retreat