ทำต่อไป

8F72A9BD-CAB1-481A-81D5-1AC7E89D3C93.JPG

ตุบ เสียงของหญิงเล็กที่กำลังลงจอดลงบนพื้นที่ว่างที่อยู่บนหิ้งพระส่วนตัวในห้องนอนผมเช้านี้

วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษที่ผมตื่นมาในห้องนอนของตัวเองที่คอนโด แต่เป็นวันที่สองแล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ หรือว่าวันที่ 23 ที่ผมอยู่เมืองไทย

เช้านี้ในจังหวะที่ผมกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนระหว่างการเริ่มสิ่งใหม่ กับ การกลับไปยังสิ่งเก่า ของการใช้ชีวิตในพื้นที่เดิมๆนั้น น้องสาวตัวน้อยของผมก็ไม่รอให้ผมต้องคิดนาน หลังจากเราทำธุระส่วนตัวปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นตอนเช้า ซึ่งกรณีผม ผมยังตื่นได้ไม่เต็มที่เพราะยังไม่ได้ดื่มกาแฟ เธอก็เดินนำผมออกจากห้องน้ำ เพื่อไปเริ่มสวดมนต์นั่งสมาธิที่บนหิ้งพระ

ห้องนอนผม ก่อนที่ผมจะบินไปลอนดอน ผมจำได้ว่าตัวเองก็ได้จัดห้องไว้ให้เรียบร้อยที่สุดก่อนจะจากไป เพราะอยากจะให้คุณแม่คุณพ่อรู้สึกว่าไม่ได้ทิ้งห้องไปแบบปล่อยให้รก ผมพยายาม (เท่าที่จะทำได้) ในการแบ่งพื้นที่ของส่วนต่างๆตามประเภทสิ่งของหรือการใช้งาน อย่างตู้หนังสือฝั่งด้านขวาของเตียงนอนผม ก็จะมีช่องที่เก็บนิตยสารบ้าง หนังสือทั่วไป หรือว่าหนังสือญี่ปุ่น ส่วนชั้นหนังสือตรงข้ามจะเป็นพวกสเก็ตบุคเป็นต้น ส่วนชั้นหนังสือฝั่งที่ตั้งอยู่ติดกับบริเวณโต๊ะทำงานก็จะมีหนังสือภาษาไทยบ้าง แล้วก็พวกหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ (ซึ่งกลายเป็นกำแพงห้องนอนส่วนตัวชายกลางไปโดยปริยาย) แล้วที่มุมขวาบนก็จะเป็นบริเวณที่ผมจะไว้หนังสือธรรมะ หรือว่าภาพของพระ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สิ่งพิมพ์ทั้งหลายที่ผมรู้สึกเคารพบูชา ผมจะรวมไว้ตรงนั้น

“การวางแผนดีแน่คะ” หญิงเล็กพูดออกมาจากบริเวณมุมห้อง ราวกับเป็นเสียงประกาศจากลำโพงที่ปลุกผมให้ตื่น เสมือนผมอยู่ในสถานปฏิบัติทำใจกลางเขตสาทร “หรือคือการใช้ความคิด ที่พี่ทองก็มักจะทำร่วมกับพี่ชายใหญ่หรือว่าพี่ชายกลาง แต่ว่าอย่างบางเรื่อง” หญิงเล็กว่าต่อ จังหวะนั้นผมก็เพิ่งตื่นขึ้นมาได้อีก 50% หลังจากที่ตัวเองแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย แล้วก็เริ่มรำลึกได้ว่า น้องๆคนอื่นๆของผมตื่นกันรึยังหรือว่าเค้าไปนอนกันตรงจุดไหนของห้องผมบ้าง “อย่างบางเรื่อง พี่ทองต้อง ลุย แล้วก็ ทำ ไปเลยค่ะ… เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง หรือให้เกิดกิจวัตร โดยไม่ต้องไปฟังว่าในหัวจะส่งเสียงอะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นคำถามอย่าง วันนี้จะทำอย่างนี้ดีไหมนะ หรือว่าอย่างนั้นดีนะ หรือว่าคำพูดอย่าง วันนี้เหนื่อยจัง ไม่ต้องทำอันนี้หรอกมั้ง ไว้ค่อยทำ เป็นต้น เราต้องละเลยเสียงเหล่านั้นแล้วก็แค่ลงมือทำค่ะ”

ผมรู้สึกขอบคุณน้องสาวที่กำลังให้สติผม ทั้งๆที่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังต้องการสิ่งนี้ อาจจะเพราะความ ‘เคยชิน’ ของสภาพแวดล้อม ที่ผมกลับมาอยู่ในห้องของตัวเอง ที่ใช้ชีวิตอยู่มานาน นานเสียมากกว่าเวลาเพียง สามสัปดาห์ ของการปลูกเพาะความตั้งใจใหม่ๆที่บ้านบางใหญ่มากนัก จนมันอาจจะกลืนกินเอาตัวผมที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ให้หายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

ผมไม่รีรอที่จะถามคำถามว่า หญิงเล็กต้องการจะให้ผมทำอะไรหรือว่า ผมควรจะทำอะไร แต่ผมก็เลือกที่จะฟังเสียงในใจของตังเอง ที่กำลังบอกว่า ตอนนี้ควรสวดมนต์ก่อน แล้วก็เลยจัดแจงหาพื้นที่เล็กๆในห้อง ลงนั่งขัดสมาธิแล้วก็เปิดคลิปจากยูทูบ คลิป สวดมนต์ตอนเช้า ที่ผมทำต่อเนื่องมาเป็นเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ได้ นับตั้งแต่กลับมาจากลอนดอน

“สาธุค่ะพี่ทอง” หญิงเล็กพูดวลีแห่งกัลยาณมิตรให้ผมเพื่อเป็นการจากลาก่อนแยกย้ายไปทำภารกิจส่วนตัวต่อในวันแรกของการใช้ชีวิตที่คอนโด หลังจากที่เราสวดมนต์เช้า นั่งสมาธิ แล้วก็จบด้วย การสวดบทรัตนสูตรฉบับแปลเสร็จสิ้น “มันจะไม่เพอร์เฟคหรอกค่ะ” หญิงเล็กบอกสิ่งที่อยู่ในใจผมออกมาราวกับเธอเป็น Professor X ซึ่งก็บังเอิญเสียจริงว่าตั้งอยู่ที่หิ้งชั้นล่างของเธอ ตัวละครจากซีรีส์การ์ตูน X-Men ที่สามารถอ่านจิตใจได้ “เดี๋ยวพี่ทองก็จะต้องถูกท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากสภาพแวดล้อมใหม่อันเก่านี้ (ผมใช้เวลาครู่หนึ่งในการคิดให้ตกถึงคำว่าใหม่แต่เก่าของเธอ) แต่สิ่งที่ต้องทำก็ไม่มีอะไรใหม่เลยค่ะ นั่นก็คือ ทำต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนมันไม่เป็นไปตามแผน ก็ทำต่อไป ในสิ่งที่เราตั้งใจไว้ค่ะ”

ผมใช้เวลาทั้งวันในการค่อยๆปรับตัวกับการกลับมาอยู่ที่บ้านๆเดิมของตัวเองอีกครั้งวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเก่าๆอย่างเช่นการกลับมาฝึกเปิดประตูบ้านด้วยแอพลิเคชั่น การแบ่งเวลาเพื่อพูดคุยกับที่บ้าน หรือสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับโรคระบาดอย่างการขึ้นลงลิฟท์เพื่อรับสิ่งของที่สั่งจากเดลิเวอรี่ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือว่าสิ่งของเครื่องใช้ที่ผมจำเป็นต้องใช้ แล้วผมก็ต้องพยายามเตือนตัวเองถึงคำของหญิงเล็กที่ว่า ทำต่อไปๆๆๆ ถึงแม้ว่าอย่างที่น้องบอก ผมก็ไม่วายโดนความสับสน ความรู้สึกขี้เกียจ หรือรวมๆก็คือความรู้สึกลบ โผล่มาหยุดยั้งเป็นพักๆตลอดทั้งวัน

แต่ผมก็เอาชนะมันมาได้ ตั้งแต่การลงมืออ่านหนังสือที่บอกเล่าชีวประวัติของศิลปิน นักเขียน ตูเว ยานซอน ผู้สร้างสรรค์ผลงานอย่างมูมิน ซึ่งผมพยายามอ่านให้จบมานานแล้ว ผมก็สามารถจะอ่านไปได้จนถึงเรื่องราวของพ่อกับแม่ของศิลปินคนนี้ ซึ่งให้แรงบันดาลใจผมมากๆว่า สิ่งที่เราเป็น สุดท้ายก็หล่อหลอมมาจากเรื่องราวของพ่อแม่ หรือแม้กระทั้งพ่อแม่ของพ่อแม่เราอีกที จริงๆ นี่ทั้งๆที่ผมอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการเริ่มต้นวันแรกของการอ่านให้ครบประมาณ 1 ชั่วโมงกับชายกลาง แต่ผมก็ถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

รวมถึงผมยังสามารถเข้าคลาสออกกำลังกับชายใหญ่ได้สำเร็จ แล้วก็มีเหงื่อหยดติ๋งๆสมใจ แล้วก็ยังสามารถส่งคลิปร้องเพลง ทำไมต้องเธอ ของพี่เบิร์ด ธงไชย แล้วก็ เพียงพอ ของโปเตโต้ เพื่อส่งไปแคสเข้ารายการ I Can See Your Voice ซึ่งก็มีหญิงใหญ่ค่อยช่วยอัดวิดิโอ แล้วก็ซักซ้อมให้ผม “พี่ส่งคลิปให้กับคนของรายการแล้วนะ แล้วเค้าก็แนะนำด้วยว่า เสียงร้องอย่างพี่น่าจะลองไปสมัครอย่าง the Voice ดู เราว่าคิดว่ายังไงหรอหญิงใหญ่” ผมอัพเดทให้น้องสาวคนโตฟังที่โต๊ะกินข้าว ช่วงเย็น เราคุยกันเสียงไม่ดังมาก เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นๆที่อยู่ในบ้าน คืนนี้ผมสั่งอาหารจากร้านของเพื่อนผม Simmer by Praha มาลองทานดู แล้วมันก็อร่อยมาก เป็นหมูสับต้มกับเกี้ยมบ๊วย แล้วก็ข้าวหน้าไก่ “ใหญ่สนับสนุนพี่ทองเสมอคะ ไม่ว่าจะร้องเพลงงานไหนก็ตาม ใหญ่รอได้เห็นพี่ทองก้าวไปข้างหน้าสำหรับสิ่งนี้ ขอแค่พี่ทำไปเรื่อยๆค่ะ” ผมแปลกใจอีกครั้งกับความคล้ายกันแต่ก็แตกต่างเฉพาะตัวของพี่น้องไม้หัวทั้งห้า “โอเคจ้ะ พี่ก็คงจะสมัครแน่ล่ะ ก็ได้แต่หวังว่าสถานการณ์โรคจะดีขึ้นในไม่ช้า” “ค่ะพี่ทอง แล้วพี่ทองก็ใช้ช่วงเวลานี้ทำความรู้จักเพลงใหม่ๆก็ดีนะคะ ไม่ว่าจะเพลงไทย อังกฤษ หรือว่าญี่ปุ่น” โค้ชหญิงใหญ่ว่าต่อ ผมสำลักน้ำแกงเมื่อตัวเองกำลังจะบอกหญิงใหญ่ว่าเพลงญี่ปุ่นล่าสุดที่อยากจะแปลด้วยกันคือเพลงอะไร “แล้วก็ค่อยๆทานนะคะ ทานทีละคำ ทำทีละอย่างค่ะพี่ทอง” ผมเขิน ไม่รู้เขินหญิงใหญ่หรือว่าเขินเกี้ยมบ๊วย

Previous
Previous

สำนวนการเขียน

Next
Next

21 ดี