เรื่องเล่าใต้ห้องนอนตอนที่ 14 : ความรักบูดๆ

เสียงระฆังส่งเสียงดังกังวาลไปทั่วบริเวณโรงเรียน บอกเวลาสิ้นสุดของการเรียนประจำวันนี้ แม้วันนี้จะเป็นวันศุกร์สุดท้าย ซึ่งชายใหญ่ก็มีความรู้สึกอยากจะฉลองเป็นพิเศษกับน้องสาวหญิงใหญ่ในการที่เธอมาเข้าโรงเรียนเดียวกับเค้าได้ แต่เค้าก็ยังอยากจะปล่อยพื้นที่ให้น้องสาวได้รู้จักกับเพื่อนใหม่เหมือนกัน เค้าเลยกะว่าจะไม่ลงไปหาน้องสาว แต่ว่าจะไปเจอเธอที่บ้านเลย ดีที่โรงเรียนนี้มีบริการรับส่งต้นไม้หลังเลิกเรียนด้วย ทำให้เค้าหมดห่วงว่าน้องสาวจะกลับบ้านยังปลอดภัย ไม่พอไหนจะมีแก๊งเบอรี่แล้วก็เพื่อนเงาะอีก ที่อยู่บ้านบริเวณใกล้เคียงกัน เค้าคิดว่าหญิงใหญ่น่าจะมีเพื่อนกลับบ้าน

ชายใหญ่ใช้เวลาหลายพักเที่ยงแล้วในการศึกษารายละเอียดของชมรมต่างๆที่เปิดในปีนี้ ทั้งชมรมที่เกิดขึ้นใหม่หรือชมรมที่ตั้งมาได้หลายรุ่นแล้วก็ตาม เที่ยงวันนี้เค้าเพิ่งได้เห็นใบประกาศของชมรมการเล่าเรื่องที่จัดโดยน้องหอมใหญ่ ที่เตะตาเค้าเป็นพิเศษ ชายใหญ่ประทับใจกับพลังของเรื่องเล่ามาตั้งแต่ยังเล็กๆ เค้าจำได้ตลอดครั้งที่แม่เค้าจะเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจต่างๆ แม่เคยบอกเสมอว่าเค้าเป็นพี่ใหญ่ของน้องอีกตั้งสี่ขีวิต ดังนั้นแม่ก็อยากจะฝากฝังให้เค้าดูแลน้องๆให้ดีที่สุด เค้าไม่เคยรู้สึกกดดันกับเรื่องนี้เลย เค้ากลับรู้สึกว่ามันทำให้เค้ารู้สึกมีค่าแล้วก็มีประโยชน์กับครอบครัว ครอบครัวคงเป็นสิ่งที่สำคัญกับเค้าที่สุดละมั้ง เค้าคิดระหว่างที่เริ่มออกเดินทางออกจากห้องเรียนไปยังตึกชมรม

'ชั้นก็อยากจะตั้งชมรมของตัวเองบ้างน่ะนะ แต่ถ้าไม่มีใครมาเข้าก็คงจะเฟลมากๆเลยนะเนี่ย' ชายใหญ่คิดกับตัวเอง ปีที่แล้วเค้าเข้าชมรมถ่ายภาพไป แล้วก็ค้นพบว่าการถ่ายภาพเป็นสิ่งที่เค้าชอบในส่วนของงานสร้างสรรค์ งานสร้างสรรค์เป็นอะไรที่อยู่ในสายเลือดของครอบครัวไม้หัวมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่คุณพ่อที่เป็นนักสะสมสแตมป์ รวมไปถึงคุณแม่ที่เป็นนักปักผ้ารางวัลเหรียญทองอีก

ชายใหญ่เงยหน้ามองดูตึกชมรม เค้ารู้สึกว่า vibe ของตึกมันช่างมหาศาลเหลือเกิน มากกว่าตึกเรียนหลายเท่า เค้าคิดว่าการได้เข้าเรียนในชมรมที่ชื่นชอบอาจจะทำให้ได้เจอกับสังคมที่คิดคล้ายๆกันก็เป็นได้

"เคยมีความรักมั้ยคะ" ชายใหญ่ตกใจ เมื่อกำลังคิดว่าตึกหลังนี้รูปทรงเหมือนกับสปริง อยู่ๆก็มีเสียงของหญิงสาวที่ค่อนข้างทุ่มต่ำดังมาจากด้านหลัง เค้าหันไปดูแล้วจึงพบว่าเค้ากำลังยืนอยู่กับมนุษย์มะกรูด

"เอ่อ สวัสดีครับ ผมขอเดาว่าคุณคือ มะกรูดใช่ไหมครับ" ชายใหญ่ถามกลับเป็นมารยาททั้งๆที่จริงๆเค้าก็ทราบดีอยู่แล้ว เนื่องจากเค้าเคยช่วยแม่ทำอาหารแล้วใช้มะกรูดเป็นส่วนประกอบอยู่หลายครั้งจนเค้าจำหน้าตาของผลไม้ชนิดนี้ได้ดี

"ถามใหม่ดีกว่า เคยอกหักไหมคะ" ชายใหญ่อึ้งไปอีกพักเมื่อเจอคำถามที่ค่อนข้างส่วนตัวแบบนี้ในที่ค่อนข้างจะสาธารณะ "เอ่อ จริงๆก็ไม่นะครับ อาจจะมีอะไรที่คล้ายๆแบบนั้น แต่ตอนนั้นมันเด็กมาก ผมก็เลยจำความรู้สึกได้แค่ลางๆเท่านั้นเอง" ชายใหญ่วิเคราะห์ดูจากท่าทางการพูดจาของมะกรูดแล้วก็ตัดสินใจว่าเค้าจะพูดคุยในระดับที่สนิทใจได้ประมาณนึง

"แวะมานั่งฟังประสบการณ์ความรักของสมาชิกชมรมความสัมพันธ์สักหน่อยมั้ยคะ สวัสดีค่ะ ชั้นชื่อมะกรูด อยู่ปีสุดท้ายแล้วค่ะ" มะกรูดเฉลยชื่อตอนจบหลังจากที่ชวนชายใหญ่เข้าไปแวะชมชมรม

เนื่องจากชายใหญ่ก็ไม่ได้รีบร้อนจะต้องกลับบ้าน เพราะว่าวันนี้ก็บอกกับน้องๆทั้งสามแล้วว่าให้หาอาหารทานเอง เค้าก็เลยคิดว่าไม่เสียหายที่จะสำรวจเก็บตกชมรมอื่นๆอีกสักหน่อย นี่มันยังไม่ผ่านเดือนแรกของเทอมเลย น่าจะมีหลายๆชมรมที่กำลังมองหาสมาชิกอยู่ตอนนี้ ชายใหญ่ตกลงแล้วจากนั้นมะกรูดก็พาชายใหญ่เดินผ่านทางแคบๆซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็น เป็นทางที่ซ่อนอยู่ริมสุดของทางเดิน มีบันไดทอดลึกลงไปใต้ดิน

"เล่าให้ฟังได้ไหมคะ ว่าความรักตอนเด็กที่ว่าเป็นยังไง" มะกรูดถามอย่างตรงไปตรงมาจนทำเอาชายใหญ่เริ่มชินพิกล "ก็จำได้ว่าเคยชอบเล่นกับต้นไม้ต้นนึงเป็นพิเศษนะครับ ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้คอยาวขนาดนี้ ก็เลยอาจจะมีคนคุยด้วยเยอะหน่อย เพราะสูงเท่าๆกัน จำได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน พูดจาเหมือนเด็กที่โตแล้ว ชวนผมไปเล่นอะไรที่เด็กๆเค้าไม่เล่นกันอย่างเช่นชวนผมไปกวาดใบไม้เป็นต้น มันอาจจะเป็นนิสัยเจ้าระเบียบที่คล้ายๆกันก็ได้ครับ ทำให้เราค่อนข้างจะถูกคอกันเป็นพิเศษ

สีหน้าของมะกรูดที่ดูเรียบเฉย ไม่มีแววตาที่ดูตัดสินเลยสักนิดทำให้ชายใหญ่รู้สึกสะดวกใจที่จะเล่าเรื่องความรักสมัยเด็กให้ฟัง ตอนนี้ทั้งสองลงมาสุดทางบันได ซึ่งเป็นพื้นที่รูปทรงวงกลามขนาดใหญ่คล้ายว่าเป็นลานกิจกรรม แล้วรอบๆก็จะมีประตูอยู่ทั้ง 8 ทิศ

"เนื่องจากความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันคือสิ่งที่เหมือนจะเข้าใจได้แต่ก็ลี้ลับ เหมือนจะใกล้ตัวแต่ก็ไกลตัว เหมือนจะสุขล้นแต่ก็ทุกข์ทรมาน พวกเราชมรมความสัมพันธ์ หรือจริงๆก็คือความรักเนี่ยแหล่ะนะคะ ตระหนักถึงความรู้สึกที่ล้นอาบของสิ่งนี้บนโลกดี จึงได้ร่วมกันเขียน manifesto กันนำเสนอคุณครูจำปาจนได้คัดเลือกเป็น 8 ชมรมพิเศษ ที่ได้รับเงินทุนจากโรงเรียนในด้านการวิจัยแล้วก็ได้มาอยู่ในชั้นใต้ดินเนี่ยแหล่ะค่ะ" มะกรูดบอกกับชายใหญ่

"พร้อมมั้ยคะ" มะกรูดถามก่อนที่จะบิดลูกบิดประตูบานสีชมพูเข้มออกสีบานเย็นเปิดออก ชายใหญ่พยักหน้าแล้วก็กลืนน้ำลายเล็กน้อยด้วยความประหม่า

"ผมไม่ไหวแล้ว!!! เค้าต้องเลิกกับผมเพราะเรื่องหัวล้านแน่นอน!!!!" ชายใหญ่ได้ยินเสียของผู้ชายตะโกนออกมา แล้วก็สั่นเครือไปด้วย เค้าน่าจะกำลังร้องไห้ "มันจะเป็นไปได้ยังไง เราก็คุยกันดีๆอยู่ตอนที่เรายังไม่ได้เจอกัน เราคุยกันแทบทุกวัน ผ่าน Social network ของมนุษย์ต้นไม้เนี่ยแหล่ะครับ จนกระทั่ง" เสียงของชายลึกลับสะอื้นขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "จนกระทั่งวันที่เราไปเที่ยวกันแล้วก็เจอกันครั้งแรกนี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป" ตอนนี้ชายใหญ่ปรับสายตาเห็นภาพที่ชัดขึ้นแล้ว เนื่องจากในห้องตอนนี้เปิดไฟไว้อย่างสลัวๆ มีกลุ่มมนุษย์ต้นไม้นั่งล้อมวงกันตรงกลางห้อง ด้านบนเป็นโคมระย้ารูปคิวปิดที่กำลังง้าวคันศร ที่ปลายลูกธนูเป็นไฟเย็นซึ่งมีสีออกชมพู  

มะกรูดหันมาทำนิ้วจุ๊ๆให้ชายใหญ่เงียบก่อนจะค่อยๆย่องพาเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ที่มุมห้องทางด้านขวา ใกล้กับชั้นหนังสือสีขาวสูงตระหง่านที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คเป็นร้อยๆเล่ม ชายใหญ่นั่งลงที่โซฟาสีแดงกำมะหยี่แล้วจึงนั่งตั้งใจฟังการพูดคุยกันของกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าใต้แสงไฟจากโคมระย้า

"อะไรที่ทำให้คุณคิดว่า มันคงไปต่อไม่ได้แล้วเหรอครับ" เสียงของผู้ชายคนนึงดังขึ้น เป็นเสียงที่ค่อนข้างเย็น ชายใหญ่ไม่ทันจะไล่สายตาไปเจอต้นตอเสียง เค้าก็หยุดพูดไปเสียก่อน "ก็ตอนที่เรานั่งรถไฟกลับมากรุงเทพด้วยกันเนี่ยแหล่ะครับ เค้าบอกผมว่า เค้าจับมือผมแล้วไม่รู้สึกอะไรแล้วครับ" แล้วทันใดนั้นแสงไฟที่โคมระย้าจุดไว้ก็ดับลง

 

Previous
Previous

เรื่องเล่าใต้ห้องนอนตอนที่ 15 : ที่ของเรา

Next
Next

เรื่องเล่าใต้ห้องนอนตอนที่ 13 : มะปราง - มะยงชิด